ศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ยังดุเดือด รอบนี้คะแนนคัดเลือกอีกครั้งวันที่ 9 ธ.ค.นี้ ล่าสุด "มาดามเดียร์" หรือ วทันยา บุนนาค เปิดตัวพร้อมท้าชิงเก้าอี้ มีคู่แข่งคือ "นราพัฒน์ แก้วทอง" ที่มีขุมกำลังสนับสนุนไม่ธรรมดา นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าศึกครั้งนี้เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของกลุ่มอำนาจเดิม ไม่แน่ว่าหัวหน้าพรรคคนใหม่จะกู้ภาพลักษณ์ฐานเสียงชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ หรือเป็นเพียง "คนคั่นเวลา"

ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า สัญญาณการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ อาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของผู้อาวุโสในพรรค หรือกลุ่มขั้วอำนาจเก่า เป็นภาพทำให้เห็นว่าการเลือกสรรหัวหน้าพรรคคนใหม่มีความเข้มข้น และชนชั้นกลางที่เป็นฐานเสียงยอมรับได้ ซึ่งเป็นนัยเพื่อกู้ภาพลักษณ์พรรคกลับคืนมาให้ได้จากฐานเสียงเดิม

กลุ่มอำนาจที่ควบคุมกลไกของพรรค อย่างกลุ่มของคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน พยายามผลักดัน คุณนราพัฒน์ แก้วทอง ลงท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับ มาดามเดียร์ หรือ วทันยา บุนนาค ซึ่งการชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งภายในพรรคยังคงอยู่

...

“หากประเมินทีเด็ดทีขาดยังอยู่ที่กลุ่มคุณเฉลิมชัยที่ผลักดันคุณนราพัฒน์ แต่ในมุมกลับกัน ภาพการเดินเกมของมาดามเดียร์ก็เริ่มเห็นชัดมากกว่า เพราะมีภาพการเดินสายไปคารวะคุณชวน หลีกภัย แสดงท่าทีชัดเจนถึงการสนับสนุน โดยเป็นสิ่งที่พยายามปลุกให้เกิดกระแสนิยมว่า ประชาธิปัตย์ ต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่ โดยต้องมีหัวหน้าพรรคที่ชนชั้นกลางยอมรับ โดยเฉพาะกลุ่มฐานเสียงในกรุงเทพฯ ให้เป็นที่ยอมรับ”

ถ้ามองฐานเสียงภายในพรรคประชาธิปัตย์ คุณนราพัฒน์ แก้วทอง มีคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน สนับสนุน มีฐานเสียงเป็นต่อมากกว่า ส่วนฐานสนับสนุนมาดามเดียร์ ในพรรคต้องใช้เวลาสั่งสมอีกพอสมควร

การเข้ามาชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของทั้งสองท่าน แสดงให้เห็นชัดว่า นาทีนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีคนที่โดดเด่นที่จะก้าวมาเป็นหัวหน้าพรรคได้ชัดเจนเหมือนกับอดีต เพราะมาดามเดียร์ประสบการณ์ทางการเมืองในพรรคยังถือว่าน้อย แต่มีฐานเสียง และกำลังทรัพย์จากภายนอกสนับสนุน ประกอบกับมีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่สามารถประสาน และประนีประนอมกับสภาพสังคมในปัจจุบันที่เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว ภาพลักษณ์ที่แสดงออกมาได้รับการยอมรับจากคนรุ่นใหม่ในส่วนหนึ่ง แต่อาจไม่เพียงพอกับการยอมรับของคนในพรรค

มาดามเดียร์ มีบุคลิกประนีประนอมกับทุกความคิด แต่ภาพของพรรคประชาธิปัตย์กำลังถูกบังคับให้เร่งเติบโตในเวลารวดเร็วมากกว่าถูกบ่มเพาะให้เติบโตด้วยประสบการณ์เหมาะสมกับระยะเวลา ซึ่งการเร่งบ่มให้เร็วก็มีข้อเสียที่พรรคเองต้องจ่ายหลังจากนี้

"ถ้าเทียบพรรษาทางการเมืองระหว่าง คุณนราพัฒน์ ถือว่ามีมากกว่ามาดามเดียร์ โดยเฉพาะตระกูลคุณนราพัฒน์มีฐานเสียงยาวนานในจังหวัดพิจิตร แม้ฐานเสียงภายในท้องถิ่นยังไม่มีอิทธิพลชัดเจนภายในพรรค แต่ต้องยอมรับว่า คุณนราพัฒน์ เป็นเหมือน "ดาวเคราะห์ทางการเมือง" มากกว่าเป็น "ดาวฤกษ์" จึงมีแนวโน้มว่าจะได้นั่งหัวหน้าพรรคแบบขัดตาทัพ จนกว่าประชาธิปัตย์จะหาทางออกได้อย่างลงตัว ซึ่งอีกด้านถ้า คุณนราพัฒน์ ได้เป็นหัวหน้าพรรค จะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ร่วมงานกับทุกพรรคการเมืองได้"

...

หากคุณนราพัฒน์ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่าอนาคตจะสามารถเข้าไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย นั่นแสดงว่าความขัดแย้งกว่า 2 ทศวรรษ ที่ขุมอำนาจเก่าภายในพรรคเคยทำไว้ เช่น การต่อต้านระบบทักษิณ ที่ใช้ชูในการหาเสียงในพื้นที่ภาคใต้จะหมดไป แต่ความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ยังคงมีอยู่

นอกจาก 2 คนที่ท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในรอบนี้ยังไม่เห็นตัวเลือกอื่นที่ก้าวขึ้นมาแก้วิกฤติศรัทธา โดยเฉพาะฐานเสียงในภาคใต้ที่ลดลง เพราะต้องยอมรับว่าวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเป็นสินค้าวางอยู่บนชั้นสินค้า ประชาชนส่วนน้อยจะหันมาซื้อ ดังนั้นหน้าที่ของผู้นำพรรคคนใหม่คือต้องเร่งฟื้นฟูภาพลักษณ์ในพรรคก่อนเป็นอันดับแรก ในฐานะพรรคการเมืองที่เก่าแก่มากที่สุดในไทย.