เสี่ยแป้ง นาโหนด หรือเชาวลิต ทองด้วง อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาคดีชิงตัวผู้ต้องหา ถูกศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี 6 เดือน หลบหนีจากโรงพยาบาลขณะเข้ารักษาตัว เมื่อวันที่ 22 ต.ค. หายตัวอย่างไร้วี่แวว จนเมื่อวันที่ 8 พ.ย. มีการยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่และหลบหนีไปได้อีกบริเวณเทือกเขาบรรทัด พื้นที่รอยต่อ จ.ตรัง พัทลุง และสตูล ทำให้เจ้าหน้าที่ระดมกำลังกว่าครึ่งพันนาย ไล่ล่าจับกุมตัว
จนถึงขณะนี้ยังไม่เจอตัวเนื่องจากฝนตกตลอดเวลา ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางกระแสข่าวพบร่องรอยเสี่ยแป้ง แม้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่เจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่ายังกบดานอยู่ในพื้นที่เขาบรรทัด จากการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอจากอุปกรณ์ เสื้อผ้ายืนยันเป็นของเสี่ยแป้ง อีกทั้งเคยเป็นทหารพรานคุ้นเคยกับพื้นที่ป่า ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปูพรมเดินเท้าแกะรอยเส้นทางหลบหนีอย่างละเอียด แต่ป่านนี้ยังไม่เจอตัว หรือเสี่ยแป้ง มีผู้นำทางพาหนีข้ามพรมแดนทางทะเลไปแล้วก็ได้
จากการสันนิษฐานของ "รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล" รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า การยังไม่พบตัวเสี่ยแป้งจากการติดตามข่าว แบ่งได้เป็น 3 กรณี 1.ยังคงหลบหนีเข้าไปอยู่ในป่า จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ภายหลังการยิงปะทะระหว่างกัน และไปพบอุปกรณ์หุงหาอาหาร นำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของเสี่ยแป้ง ซึ่งปกติต้องมีการเก็บดีเอ็นเอผู้ต้องขังไว้อยู่แล้ว ก็สามารถตรวจสอบได้ และแน่นอนการหลบหนีเข้าป่าต้องมีคนช่วยเหลือ
...
กรณีที่ 2 มีการหลบหนีไปอาศัยบ้านคนใกล้ชิดหรือคนสนิท ก็ต้องมีการตรวจสอบ และกรณีที่ 3 หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ก็เชื่อในประเด็นแรกว่ายังคงหลบหนีอยู่ในป่าเทือกเขาบรรทัด จากการตรวจสอบหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ในการติดตามจับกุมตัว ก็ต้องใช้งบเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะระหว่างการควบคุมเสี่ยแป้งของกรมราชทัณฑ์มีความหละหลวม ทำให้ต้องเสียทรัพย์สินใช้งบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมาจากภาษีของประชาชน และใช้กำลังบุคลากรเป็นจำนวนมากในการไล่ล่าเสี่ยแป้ง
“เสี่ยแป้งจะสามารถอยู่ลำพังในป่าได้เป็นเวลานานคงยาก แต่อาจเคยเดินป่ามาก่อน เคยเป็นทหารพราน คงเรียนรู้การดำรงชีพในป่า เป็นคนเคยมีประสบการณ์และถูกฝึกสอนมา สามารถเรียนรู้การดำรงชีพในป่าได้ระยะหนึ่ง จากการช่วยเหลือหาอาหารมาให้เสี่ยแป้งและพาหลบหนี แต่อย่างไรก็ตามคนเราต้องมีเสบียง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามตัดเส้นทางส่งเสบียง เป็นการกดดันเสี่ยแป้ง ถ้าทำได้ก็น่าจะอยู่ในป่าได้ไม่นาน”
หนีไปแล้ว แต่สร้างสถานการณ์ไล่ล่า เป็นไปได้ยาก
ในกรณีที่ 3 หลบหนีออกนอกประเทศก็อาจเป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน เพราะการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทุ่มกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในการไล่ล่า ทำให้เสียกำลังเจ้าหน้าที่และนักข่าวก็ต้องลงพื้นที่ หากสร้างสถานการณ์ในการลงพื้นที่ไล่ล่าคงเป็นไปได้ยากมาก อีกทั้งรอง ผบ.ตร. ได้ลงพื้นที่ไปควบคุมการทำงาน และยังมีชาวบ้านให้ความสนใจ หากเสี่ยแป้งไม่ได้อยู่ในป่า แต่หนีไปนอกประเทศแล้ว และยังส่งเจ้าหน้าที่ระดมกำลังค้นหา จะไม่ส่งผลดีต่อหน่วยงานของรัฐในด้านภาพลักษณ์
หรือหากเสี่ยแป้งเสียชีวิตแล้ว ก็ต้องพิสูจน์ว่าศพอยู่ที่ใด เช่นจากการปะทะต่อสู้จนถูกวิสามัญ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งคนในละแวกพื้นที่ก็สนใจ หากบอกว่าเสี่ยแป้งเสียชีวิตแล้ว จะต้องถูกตั้งคำถามว่าศพหายไปไหน แต่เนื่องจากไม่อยู่ในสถานการณ์ทำให้วิเคราะห์ได้เพียงภาพกว้างๆ จากการติดตามข่าวจากสื่อเท่านั้น แต่หากอยู่หน้างานในพื้นที่ก็น่าจะวิเคราะห์ได้มากกว่านี้
หากยังไม่พบตัวเสี่ยแป้งจนมีการยุติการไล่ล่า แต่ตราบใดที่เสี่ยแป้งมีหมายจับ หากพบเจอก็สามารถจับกุมได้ในช่วงอายุความยังอยู่ หากเสี่ยแป้งหลบหนีก็จะหนีไปตลอด ซึ่งต้องติดตามดูเพราะส่วนใหญ่เมื่อใกล้หมดอายุความ ผู้ต้องหามักจะตายใจแอบกลับเข้ามา จนสุดท้ายก็ถูกจับได้ในที่สุด.
...