จำนวนเด็กเกิดใหม่ในไทยลดลงอยู่ในขั้นวิกฤติ เนื่องจากอัตราเจริญพันธุ์รวมของผู้หญิงไทยลดต่ำลงอย่างรวดเร็วมาก จากเมื่อ 50 ปีก่อน ผู้หญิงไทยเคยมีบุตรเฉลี่ยมากกว่า 5 คน เมื่อเทียบกับปี 2565 ผู้หญิงไทยหนึ่งคนมีบุตรเฉลี่ยเพียง 1.1 คนเท่านั้น จากปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อต่อการมีลูก ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมคนเกิดน้อย คนอายุยืนมากขึ้น เพราะระบบสาธารณสุขดีขึ้น คนตายก็น้อยลง จนคนแก่เพิ่มมากขึ้น เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ไปแล้วในปัจจุบัน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย เพราะก่อนหน้านั้นญี่ปุ่น เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาแล้วหลายปี ยังมีสเปน อิตาลี เกาหลีใต้ อัตราการเจริญพันธุ์ลดลง แม้กระทั่งจีน ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ก็ลดลงเช่นกัน มีการคาดว่าค่าเฉลี่ยการมีบุตรของผู้หญิงทั่วโลกจะลดลงเหลือเพียง 1.7 คน ในปี 2643 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมากในอนาคต จากการขาดแคลนวัยแรงงาน และผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น กลายเป็นยอดของพีระมิด
การกระตุ้นให้คนไทยมีลูกเพิ่มขึ้น เป็นความพยายามตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ ผ่านนโยบาย "นัดเดตคนโสด" จนถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย และมาถึงยุครัฐบาลเศรษฐา ในการออกมาประกาศของนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องเอาความคิดมีลูกมากจะยากจนออกไป ให้การ “ปั๊มลูก” เป็นวาระแห่งชาติในการเพิ่มจำนวนประชากรเด็กแรกเกิด และไม่ใช่แค่วาระแห่งชาติ แต่เป็นปัญหาของโลก ผ่านแคมเปญ “Give Birth Great World” หากไม่เร่งแก้ไขจะเกิดปัญหาใหญ่เชิงโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะประชากรสูงอายุ จะมีมากกว่าวัยหนุ่มสาว
...
แก้ปัญหาประชากรลดลง ไม่ใช่แค่ให้ผู้หญิงมีลูก
แต่ไม่พ้นการถูกวิพากษ์วิจารณ์อีก เพราะมองว่าการแก้ปัญหาประชากรที่ลดลง ไม่ได้แก้โดยแค่การบอกและประกาศปาวๆ ให้ผู้หญิงไปมีลูกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุ โดยเฉพาะความไม่ต้องการจะแบกภาระอันหนักอึ้ง แล้วรัฐบาลมีความพร้อมหรือไม่ในการออกนโยบายช่วยเหลือ โดยหนึ่งในนั้น “รศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา” รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า รัฐบาลพูดถึงแต่เรื่องการทำลูกแบบ กว้างๆ ไม่ใช่การมีลูก เพราะการมีลูกจะต้องสร้างสภาพสิ่งแวดล้อมให้ง่ายขึ้นเพื่อการมีลูก และปัจจุบันคนจะตัดสินใจมีลูก ก็ตอนอายุมากขึ้นประมาณ 30 ปีขึ้นไปหรือ 40 ปีขึ้นไป จะต้องพึ่งเทคโนโลยีช่วยให้มีลูก
“รัฐบาลควรมีนโยบายสนับสนุนในการมีลูก ไม่ใช่ทำลูก มันเหมือนแก้ปลายเหตุมากกว่า แล้วทำไมคนหนึ่งคนกว่าจะมีลูก ก็อายุ 40 กว่าๆ ก็เกิดจากการทำงาน และนโยบายนี้มาจากกระทรวงสาธารณสุข ดูในเชิงการแพทย์เป็นหลัก ต้องทำอย่างไรเพื่อให้คนมีลูกได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่คนกว่าจะมีลูกคนแรก ก็เหมือนจะมีลูกได้คนเดียว เพราะอายุมาก กว่าจะมีลูกคนที่สองอาจช้าเกินไปเสียแล้ว เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ”
โดยรวมแล้วถ้ารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการมีลูก จะต้องร่วมมือกับหลายกระทรวง แต่กลายเป็นว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก ในการช่วยเหลือคนมีบุตรยากเท่านั้น อาจไม่ค่อยครอบคลุมในการสนับสนุนการเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญในการส่งเสริมการมีลูกโดยตรง ทำให้คนอยากมีลูกมากขึ้น อย่างนโยบายวันลาคลอดและการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะสังคมไทยเป็นการทำงานลักษณะโรงงาน ซึ่งการจัดการให้ทำแบบเวิร์กฟรอมโฮม ก็อาจยากกว่า
ไม่อยากมีลูก เป็นเรื่องของเขา กังวลหลายๆปัญหา
ประเด็นเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องหลัก หากจะเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพจะต้องส่งไปเรียนโรงเรียนดีๆ ต้องใช้เงินจำนวนมาก เป็นประเด็นหลักที่คนไม่อยากมีลูก และเมื่อคนไม่อยากมีลูกก็จะไม่อยากมี จะกระตุ้นให้ไปปรึกษาคลินิกเพื่อให้มีลูกก็ไม่ได้ เพราะไม่อยากมีลูก หรือมีลูกคนหนึ่งแล้ว จะต้องให้มีลูกคนที่สอง ก็คงยาก
อีกทั้งการมีลูกทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป จะต้องปรับตัว และมีลูกคนที่หนึ่ง แล้วจะมีคนที่สอง มีค่าใช้จ่ายในการเรียนเพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่า ก็ควรมีนโยบายลูกคนที่สองไปด้วย โดยรัฐอาจช่วยเหลือเงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนให้มากๆ จะช่วยจูงใจให้คนมีลูกคนที่สอง
“การมองว่าคนไทยไม่ยอมมีลูก ไม่ใช่เรื่องบิดเบี้ยว แต่เป็นเรื่องของเขา ก็เห็นด้วย เพราะเมื่อไม่อยากมีลูกก็ไม่ต้องการ ไม่คิดจะมีลูก แต่บางครอบครัวอยากจะมีลูก ก็เพราะพ่อแม่อยากให้มี อย่างไรแล้วก็ไม่ควรจะยุ่งกับเขาว่าจะมีลูกหรือไม่มีลูก ต้องไปดูว่าทำไมคนไม่อยากมีลูก แล้วเขากลัวอะไร จะต้องเสียอะไรบ้าง หรือมีอะไรให้ แต่ก็ไม่มีอะไรมาจัดการดูแลเลย”
...
งานวิจัยก่อนหน้านั้นเคยเก็บข้อมูลกลุ่มเจน X และเจน Y ถึงสาเหตุไม่อยากมีลูก โดยหลักๆ แล้วพบว่า เจน Y เริ่มมีค่านิยมเปลี่ยนไปในการมีลูก มีความกังวลต่างๆ ในการเลี้ยงลูก มีการตั้งคำถามมากขึ้นว่า "มีแล้ว มีไปทำไม" แต่เจน X ยังคงทำตามขนบเดิมในการมีลูก แต่หากมีเก็บข้อมูลอีกคิดว่ากลุ่มเจน Z จะมีการตั้งคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับการมีลูก ส่วนกลุ่มเจน X และเจน Y ไม่อยากมีลูก ก็เพราะผู้หญิงเหล่านั้นรู้ว่ามีผลกระทบอะไรบ้าง และคิดว่ากลุ่มเจน Z คงมีความคิดไม่ต่างกันเท่าไร
มีลูกเพื่อชาติ มาสู่ปั๊มลูกให้โลก แก้ไม่ตรงจุด
ในช่วงโควิดระบาด อาจทำให้คนอยากมีลูกน้อยลง จากความไม่แน่นอนของโลกในหลายรูปแบบ และล่าสุดสงครามอิสราเอลกับฮามาส น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง หรือข่าวการกราดยิงมีมากขึ้น ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าโลกนี้อยู่ยาก ซึ่งไม่ว่าแคมเปญใดจะออกมากระตุ้นให้คนมีลูก ก็ไม่เห็นด้วย และก่อนหน้านั้น "มีลูกเพื่อชาติ" ก็สงสัยทำไมให้มีลูกเพื่อชาติ หรือล่าสุด "Give Birth Great World" ยิ่งห่างไกลไปใหญ่ เพราะการมีลูกหรือไม่มีลูก ไม่ใช่เรื่องระดับโลก แต่เป็นเรื่องของครอบครัวในการใช้เวลาอยู่กับลูก สามารถให้เงินกับลูกให้มีคุณภาพที่ดีหรือไม่
...
“ไม่เกี่ยวกับโลก ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับโลก และคนอาจคิดว่าการมีลูก มันแย่กว่าเสียอีก การใช้แคมเปญนี้เข้าใจว่า เขาอยากให้รู้ปัญหาประชากรโลกลดลง มีสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น แต่คนทั่วไปจะไม่อินกับปัญหาระดับโครงสร้างเพราะไกลตัว ไม่รู้ว่าจะกระทบกับชีวิตอย่างไร ไม่มีความหมายทั่วไปกับคนที่จะมีลูก อาจเน้นไม่ถูกจุดเท่าไร ท้ายสุดก็กลับมาเรื่องเดิม กระตุ้นให้คนมีลูกแบบโต้งๆ ไม่ตรงจุด คงไม่มีทางว่าคนมีลูกจะช่วยโลกอย่างได้ผล แต่ควรมีสิ่งที่เอื้อกับคนมีลูก ในการสร้างสภาพแวดล้อมว่าควรมีหน้าตาอย่างไร ไม่ใช่การมีลูกเพื่อโลก ทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้กับโลก”.