พลังจิตสามารถรักษาผู้ป่วยอัมพฤกษ์ แขนขาอ่อนแรง หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ปวดคอ ปวดบ่า ปวดหลัง ปวดหัวไมเกรน จนหายหรืออาการทุเลาลงโดยไม่ต้องพึ่งหมอได้จริงหรือ? เพียงแค่ใช้ฝ่ามือตบๆ เป็นคำถามของผู้คนจำนวนมากในสังคม ยิ่งมีการเผยแพร่คลิป "อาจารย์เอก ฝ่ามือพลังจิต" ผู้อ้างว่ามีพลังจิต ใช้เท้าถีบบั้นเอวผู้มีปัญหาหมอนรองกระดูก ขณะนอนคว่ำเรียงรายเป็นแถวยาวทีละคน ยิ่งสร้างความฉงน และดูเหมือนกลุ่มคนเหล่านั้นจะเชื่อ หรืออาจไม่มีทางเลือกอื่นในการรักษาให้หายก็ได้
อาจารย์เอก ฝ่ามือพลังจิต ถูกตั้งฉายาหมอเทวดา อ้างว่านำศาสตร์พลังจิต จากการเจริญภาวนาด้านพลังจิตมานาน มาเป็นทางเลือกรักษาผู้ป่วย ด้วยการปรับธาตุ สมดุลร่างกาย อ้างว่าเคยรักษาคนตาบอดให้กลับมามองเห็น ทำให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มีอาการดีขึ้น โดยคิดเพียงค่าครูเท่านั้น และยังอ้างอีกว่าประชาชนที่เดินทางมารักษา ต่างบอกอาการที่เป็นอยู่ดีขึ้น บางคนบอกว่าหายเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาโรคเหล่านี้ พร้อมกับท้านพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้มารักษา อย่าเอากฎหมายมาปิดกั้น
...
ขณะที่ยายวัย 68 ปี ชาวบุรีรัมย์ ยอมรับอาจารย์เอกคนดัง เคยมารักษาดวงตาที่มองไม่เห็นแต่ดีแค่ 3 วัน กลับมาเหมือนเดิม ล่าสุดตาบอดสนิทแล้ว และเมื่อเป็นข่าวโด่งดังทางสภาการแพทย์แผนไทย ไม่นิ่งเฉยได้ทำการตรวจสอบ พบว่าอาจารย์เอก เป็นหมอเถื่อน ไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย หรือการแพทย์ประยุกต์ แต่อย่างใด ทำให้นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ออกมาระบุจะเร่งตรวจสอบเอาผิด และการอวดอ้างรักษาในสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่สถานพยาบาล ขาดความน่าเชื่อถือ และเสี่ยงอันตรายกับคนไข้ที่ไปรักษาด้วยวิธีผิดมาตรฐาน ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณก่อนไปใช้บริการ
รวมถึงนพ.ชลน่าน กล่าวว่า อาจารย์เอกมีสิทธิในการรักษา แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และการจะใช้ศาสตร์ต่างๆ มาดูแลรักษาโรค ดูแลชีวิตมนุษย์ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับ มีมาตรฐาน มีความปลอดภัย จะอ้างสิทธิโดยไม่ยึดข้อกฎหมายไม่ได้ บ้านเมืองมีกฎหมาย คนที่ไม่ยอมรับในกฎหมายก็อยู่ในบ้านเมืองไม่ได้
พลังจิตรักษาโรคได้ แต่ไม่ใช่ตบ ถีบ ใช้จิตสั่ง
แล้วพลังจิตสามารถรักษาโรคได้จริงหรือไม่ "ศ.พิเศษ ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ" ราชบัณฑิต ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพลังจิต จากสถาบันพลังจิตตานุภาพ บ้านบรรณรุจิ ยืนยันพลังจิตสามารถรักษาโรคได้ เป็นพลังจิตที่เกิดจากสมาธิ แต่กรณีของอาจารย์เอก มีการใช้เท้าถีบและใช้มือตบ น่าจะเป็นเรื่องของการสั่งการ เป็นเรื่องของจิตสั่งให้ใช้พลังทางกายมากกว่า หากใช้พลังจิตรักษาจะต้องใช้พลังจิตล้วนๆเข้าไปจัดการร่างกายของคนที่เจ็บป่วย ไม่ใช่ใช้พลังกายอย่างที่ปรากฏทั้งการใช้ร่างกายหรือเท้าไปยังจุดต่างๆ ของร่างกายผู้มารักษา เพราะจิตตัวเองสั่ง กลายเป็นพลังที่ตบ ทำให้มีอำนาจ
แตกต่างกับการใช้พลังจิตรักษาโรคจะต้องอยู่ในอาการสงบ ใช้การเพ่งมองด้วยการบริกรรมอย่างมากๆ ในจิต จนจิตเกิดสมาธิ อย่างในอดีตสมัยเป็นเด็กเคยอยู่กับหลวงพ่อรูปหนึ่ง ได้ใช้พลังจิตโดยเพ่งไปยังไม้เท้าที่ใช้เป็นสื่อ ในการส่งพลังจิตไปยังขาที่เจ็บของผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วก็หายเจ็บ หรือมีผู้ชายนอนป่วยอยู่ ก็ลากไม้เท้าวางบนร่างกายแล้วก็เพ่งพลังจิตส่งไป ก็หาย จากปกติจะต้องนวดคลึงไปที่ร่างกาย
“หากอ้างว่าใช้พลังจิตรักษาจะเป็นพลังที่เป็นสมาธิหรือไม่ ก็ต้องดูกันไปก่อน แต่การใช้เท้าถีบแล้วผู้มารักษาบอกว่าโล่งจนตัวเบา หากถีบถูกเส้นถูกที่ ก็อาจจะโล่งได้ คิดว่าอาจมีความรู้เรื่องเส้นประสาทต่างๆในร่างกายคน ก็จับได้ถูกจังหวะ ทำให้เลือดลมดีขึ้น ไม่มั่นใจว่าจะใช้พลังจิตรักษา เพราะการใช้พลังจิตจะต้องไม่ตบไม่ถีบ แต่ใช้การสัมผัสสื่อพลังจิต ในกรณีอาจารย์เอก อาจมาจากความคิดจิตสั่งมา ผสมกับพลังในร่างกายและใช้วิธีจับเส้นในที่สุด”
...
กว่าจะมีพลังจิต ต้องผ่านฝึกบริกรรมเป็นเวลานาน
การที่ใครก็ตามจะมีพลังจิต จะต้องผ่านการฝึกบริกรรมเป็นเวลานาน หากไม่ได้มาจากผลบุญก็ต้องฝึกอย่างยาวนาน บางคนใช้เวลา 10 ปี แต่ถ้ามีบุญมีวาสนาก็ใช้เวลาเพียง 1-2 ปีเท่านั้น ส่วนวิธีฝึกพลังจิตต้องเริ่มต้นจากการฝึกนั่งสมาธิ โดยนั่งหลับตาให้สติจับไปยังสิ่งที่กำหนด เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ มีความเข้มแข็ง และกำหนดพุทโธให้จิตเป็นสมาธิ ซึ่งแต่ละวิธีแตกต่างกัน
เมื่อมีสมาธิก็เกิดสติตามมา หากสติและสมาธิทำถูกต้องก็จะสัมพันธ์กัน แต่ถ้าไม่ถูกต้อง ทำให้บางคนสติหลุด หรือสมาธิลึก จนกลายเป็นมิจฉาสมาธิ หมายความว่าหากฝึกผิดไปทางไสยศาสตร์ หรือคุณไสย มีการบริบทคาถา จนเกิดสมาธิในทางที่ผิดและเกิดกิเลสเพิ่ม ในการใช้พลังเหล่านี้ไปกระทำในทางที่ไม่ดี แต่หากจิตสงบ จะทำให้กิเลสลด มีการถือศีลจนก่อปัญญา ทำให้สีหน้ามีความแจ่มใส.