ศาลมุกดาหาร เลื่อนอ่านคำพิพากษา ‘ลุงพล-ป้าเเต๋น’ เป็นปลายเดือน ธ.ค. เนื่องจากอยู่ระหว่างตรวจร่างคำพิพากษา คดีฆาตกรรม น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ หายปริศนาไปจากบ้าน ในพื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่เช้าวันที่ 11 พ.ค. 2563 จากนั้นอีก 3 วัน พบศพนอนเสียชีวิตบนภูเหล็กไฟ เขตอุทยานแห่งชาติภูผายล แม้เป็นการตัดสินของศาลชั้นต้น แต่ใช้เวลาสืบพยานกว่า 70 ปาก ขณะเดียวกัน ก็เป็นการพิสูจน์ความจริงของ “ลุงพล-ป้าแต๋น” หลังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในคดี
น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ เสียชีวิตปริศนา ห่างจากบ้านประมาณ 2 กม. ในสภาพเปลือยกาย พบร่องรอยหนามเกี่ยวตามแขนและขา บริเวณที่เกิดเหตุพบกางเกงผู้เสียชีวิตถูกถอดไว้ข้างก้อนหิน และรองเท้าหล่นอยู่ระหว่างทางเดิน จากนั้น “ลุงพล” กลายเป็นผู้ต้องสงสัยสู่การสืบพยาน นำมาสู่การตัดสินของศาลชั้นต้น
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์แนวทางก่อนวันตัดสินปลายเดือนธันวาคมนี้ กับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า คดีน้องชมพู่ มีการสืบสวนหาหลักฐานในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำสู่การตั้งข้อสังเกต กรณี “ลุงพล-ป้าแต๋น” การพิจารณาของศาล โดยมีการแจ้งดำเนินคดีเกี่ยวกับพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดา ประการต่อมาคือการกระทำการต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่พบศพ ต่อมามีการแจ้งข้อหาเพิ่ม ซึ่งในข้อสงสัยสามารถตั้งข้อสังเกตได้ แต่การตัดสินโทษของศาลต้องมีข้อมูลปราศจากข้อสงสัย
...
การหายตัวไปของน้องชมพู่ ช่วงแรกนำสู่การเปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อมวลชน ทำให้เกิดการตามหาและแจ้งเบาะแส ภายหลังพบว่าน้องเสียชีวิต นำสู่การติดตามผู้ต้องสงสัยในคดี โดยเฉพาะ “ลุงพล-ป้าแต๋น” ขณะเดียวกันคดีนี้ทำให้เห็นช่องโหว่ในการปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ แม้มีความสัมพันธ์เป็นญาติ เพราะพื้นที่เกิดเหตุจะต้องมีรอยเท้าของคนร้าย หากมีการกันพื้นที่เกิดเหตุ และให้ผู้เชี่ยวชาญนำรอยเท้าในที่เกิดเหตุมาเปรียบเทียบ ยิ่งการค้นพบเส้นผม หรือเส้นขนในที่เกิดเหตุ สามารถคลี่คลายคดีได้
ความยากของคดีน้องชมพู่ เนื่องจากไม่มีการปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ ทำให้หลักฐานในคดีถูกปนเปื้อน และพยานหลักฐานบางส่วนถูกทำลายตั้งแต่แรก เมื่อเจอร่างน้องชมพู่ ลุงพลมีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ เมื่อเจอร่างผู้เสียชีวิต ต้องมีการกันสถานที่ให้เข้มงวด เพราะเป็นหลักฐานทางคดีในระดับสากล
“ความยากของคดีน้องชมพู่ เกิดจากหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ มีการปนเปื้อนมาก ไม่มีหลักฐานกล้องวงจรปิด ที่มาช่วยคลี่คลายคดี ทำให้เจ้าหน้าที่หาหลักฐาน ต้องหาข้อมูลจากเทคโนโลยีด้านอื่น ทั้งจากสัญญาณโทรศัพท์ การแชต พยานบุคคล มีความละเอียดอ่อน เนื่องจากพยานอาจจำได้บ้างไม่ได้บ้าง”
การตัดสินของศาลช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้ คาดมีการอุทธรณ์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่ามีผลทางใดจะมีการต่อสู้ทางคดี ถ้าหากศาลมีคำตัดสินว่า ลุงพล-ป้าเเต๋น ไม่มีความผิด จะทำให้เกิดกระแสคนที่เคยชื่นชอบกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง เพราะต้องยอมรับว่าความคิดคนในสังคมแบ่งเป็นสองด้าน
“สิ่งสำคัญอยากให้คนในสังคมไทย มองการสร้างตัวตนของคนบนโลกโซเชียลได้หลายกรณี เช่น เด็กนักเรียนที่ทำดี อยากให้มองว่าการปลูกฝังสิ่งดีงามเหล่านี้ให้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากมีการสร้างตัวตนให้กับบุคคลที่เป็นที่สงสัย มีความเสี่ยงให้เกิดการเลียนแบบ สุดท้ายสังคมจะบิดเบี้ยว เกิดความไม่สงบ”
คดีน้องชมพู่ เป็นบทเรียนที่ย้ำเตือนว่า พ่อแม่ไม่ควรปล่อยลูกที่เป็นเด็กเล็ก ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ห่างจากสายตา เช่นเดียวกับความไว้ใจ ไม่ควรให้คนอื่นสนิทสนมกับลูกเกินไป.