ตา-ยาย เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรม อ้างถูกลูกสาววางยากล่อมประสาท หวังฮุบสมบัติ 500 ล้านบาท ระหว่างอาศัยในบ้านลูกคนเล็กได้ให้ยา เมื่อกินเข้าไปมีอาการตาค้าง คอแห้ง ควบคุมร่างกายไม่ได้ จนหลานช่วยพาออกมา ตาอ้างว่า เงินที่อยู่ในบัญชีได้หายไป โดยไม่ทราบถึงการโอน ขณะลูกสาวคนเล็กฟ้องกลับข้อหาแจ้งความเท็จ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจเส้นผม หาสารพิษในร่างกาย ส่วนหมอเชี่ยวชาญย้ำ คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิสูจน์ความจริง แต่ที่ผ่านมาเกิดเหตุลักษณะนี้บ่อยมากขึ้นในสังคม

คดีปริศนาวางยาฮุบสมบัติ 500 ล้าน ตายายอ้างว่า ลูกสาวได้วางยามากว่า 3 ปี ให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ โดยเรื่องเริ่มจากครอบครัวมีบ้านติดกัน คุณตาได้ขายที่ดินมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท แต่เกิดความไม่ลงรอยกันในครอบครัว จึงตัดสินใจพายายมาอยู่บ้านลูกสาวคนเล็ก ระหว่างอยู่ ลูกได้ให้ทานยา อ้างว่าช่วยรักษาโรคประจำตัว เมื่อกินยาแล้วมีอาการตาค้าง คอแห้ง ปากแห้ง ชักเกร็ง ควบคุมตัวเองไม่ได้ ผิดจากตอนที่ไม่ได้กินยา

แม้บ้านของลูกสาวทั้งคู่จะติดกัน แต่ด้วยรอยร้าวที่มีทำให้มีการก่อกำแพงสูงกั้นอาณาเขตบ้านทั้งคู่ จนวันหนึ่งลูกสาวคนโตได้ยินเสียงร้องไห้บริเวณกำแพงบ้าน เมื่อขึ้นไปชั้นบนบ้านมองลงมา เห็นคุณยายกำลังร้องไห้ จึงทำการช่วยเหลือให้ออกมาจากบ้านลูกคนเล็ก

...

เมื่อตายายได้สติ จึงแจ้งความว่าถูกลูกนำเงินในบัญชีไปใช้ และโอนที่ดินกลายเป็นของลูกโดยไม่รู้ตัว และตอนนี้ลูกคนเล็กได้ฟ้องกลับ ข้อหาแจ้งความเท็จ
คดีนี้อยู่ระหว่างการพิสูจน์เส้นผม หาสารตกค้าง ที่ตายายอ้างว่าลูกให้กิน และมีอาการ จนควบคุมตัวเองไม่ได้ ก่อนมีการโอนเงินและทรัพย์สินไป

ไขปมวางยาฮุบสมบัติ เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร

สำหรับคดีตายาย ที่อ้างว่าถูกลูกวางยาฮุบสมบัติ 500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิสูจน์หาความจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับ รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรืออาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ถึงหลายคดีที่ผ่านมามักมีการวางยาจากบุคคลใกล้ชิดว่า หลายคดีมีการกล่าวอ้างว่าถูกวางยา จากยามีฤทธิ์ต่อจิตประสาท หรือยาใช้วางยาสลบในสัตว์ ซึ่งคนที่มาให้ตรวจสอบ จะมาในช่วงที่มีสติดีแล้ว

“คนที่มีสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน แพทย์ต้องประเมินว่าผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่ เพื่อนำผลไปยื่นต่อศาล ให้บุคคลดังกล่าวเป็นคนไร้ความสามารถ หากศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ จะมีการตั้งผู้อนุบาล มีหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สิน ซึ่งความจริงมีกรอบ ไม่ใช่ว่าจัดการได้ทุกเรื่อง แต่ต้องอยู่ในขอบข่ายคำสั่งศาล ที่ผ่านมาหลายกรณีกลับใช้ช่องว่างนี้ โอนย้ายทรัพย์สิน เช่น การเบิกเงินในธนาคาร ตามความหมายของศาลคือ การนำเงินเหล่านั้นมาดูแลผู้ป่วย แต่ส่วนใหญ่ทำการเบิกเงินทั้งหมด บางกรณีทรัพย์สินที่ดินถูกนำไปขาย ถ้ากรณีคนนั้นกลับมามีสติสัมปชัญญะ สามารถร้องได้ว่า สิ่งที่ทำไปไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

กรณีตายายรายดังกล่าว ขณะนี้เข้าสู่กระบวนการกลับมาประเมินสติสัมปชัญญะอีกครั้ง ต้องมีการพิสูจน์ตามการกล่าวอ้างว่าถูกวางยา โดยตายายได้รับความช่วยเหลือออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะนี้ผ่านมาแล้วประมาณ 6 เดือน การตรวจหาสารตกค้างผ่านเลือดและปัสสาวะ ไม่สามารถทำได้ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจหาจากเส้นผม เพื่อไขปริศนาว่าถูกวางยาจริงหรือไม่ ที่น่าสนใจคือ หลานสาวอ้างว่า มีการเก็บยาที่ตากับยายทาน และให้นำไปตรวจสอบ ถ้ามีการตรวจสอบสารตกค้างบนเส้นผม มีสารตรงกับยาที่เก็บมาได้ และมีหลักฐานที่เชื่อมโยงกัน ถึงจะมีความชัดเจน

แต่มีโอกาสที่ไม่สามารถตรวจสอบสารตกค้างหรือตัวยาได้ เพราะเวลาที่ผ่านมาพอสมควร แต่ตากับยายมีสิทธิขอร้องให้ศาลพิจารณา ระงับการดำเนินการด้านทรัพย์สินที่ผ่านมาได้

การทำคดีลักษณะนี้พบว่า ยาที่ใช้ก่อเหตุมักมีหลายแบบ บางกรณียามีฤทธิ์ทำให้คนทานเข้าไปเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ชั่วคราว หรือยาที่ใช้ในบุคคลมีความผิดปกติด้านจิตประสาท ทำให้มีอาการสะลึมสะลือ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ปากชา แขนขาอ่อนแรง แต่อาการเหล่านี้ไม่สามารถบ่งบอกเฉพาะเจาะจงได้ว่าเป็นผลมาจากยาชนิดไหน

...

“หลายเคสที่เป็นคดี มักเกิดจากบุคคลในครอบครัว ถ้าเป็นคนอื่นจะทำยาก ดังนั้น ต้องอยู่ที่จิตสำนึกแต่ละบุคคล เพราะหลายกรณี เกิดระหว่างพ่อแม่กับลูก ซึ่งในทางนิติวิทยาศาสตร์ มีเทคโนโลยีทันสมัยตรวจสอบได้ ไม่ว่าผู้ถูกกระทำรอดชีวิตหรือเสียชีวิต จึงไม่อยากให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก”.