เป็นไปตามคาดจริงๆ กับข้ออ้าง "แยกกันเดิน เปลี่ยนประเทศไปด้วยกัน" ของพรรคก้าวไกล มีมติขับ "หมออ๋อง" ปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากพรรค เพื่อรักษาตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 อ้างว่าเป็นการเดินหน้าเป็น "ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์" และยังเปิดทางให้ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส่วน "หมออ๋อง" ก็ไม่พ้นสภาพความเป็นสส. หากหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน ระหว่างพรรคเป็นธรรม หรือพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งอยู่ในขั้วฝ่ายค้าน

แม้ "หมออ๋อง" ถูกขับออกจากพรรคก้าวไกล แต่ก็มีรากเหง้ามาจากพรรคอนาคตใหม่ ก่อนจะถูกยุบพรรค จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อาจเป็นนิติกรรมอำพราง มีการสมคบคิด ทำให้พรรคก้าวไกลกินรวบได้ทั้งตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน และรองประธานสภาฯ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 ระบุไว้ว่า ผู้นำฝ่ายค้าน จะต้องเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาฯ ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ

หมออ๋อง-ปดิพัทธ์ สันติภาดา แถลงต่อสื่อ หลังถูกขับออกจากพรรคก้าวไกล
หมออ๋อง-ปดิพัทธ์ สันติภาดา แถลงต่อสื่อ หลังถูกขับออกจากพรรคก้าวไกล

...

กินรวบ 2 ตำแหน่ง ย้อนแย้งแนวทางการเมืองแบบใหม่

สิ่งที่พรรคก้าวไกล ตัดสินใจทำไปจะส่งผลอย่างไร? “รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า เป็นเกมที่พรรคก้าวไกลต้องการกินรวบ เพราะรัฐธรรมนูญมีข้อจำกัดในมาตรา 106 ผู้นำฝ่ายค้าน ต้องเป็นหัวหน้าพรรคในสภาฯ ที่มีสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกไม่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ เป็นเงื่อนไขทำให้ไม่ได้เก้าอี้ 2 ตำแหน่ง ทั้งผู้นำฝ่ายค้าน และรองประธานสภาฯ ในเวลาเดียวกัน

หรือแม้จะบอกว่าเป็นความประสงค์ของหมออ๋อง ต้องการทำหน้าที่รองประธานสภาฯ แต่ภาพที่ออกมาได้ส่งผลเสียต่อพรรคก้าวไกลมากกว่า เป็นการใช้เทคนิคทางการเมือง ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ เพราะพรรคก้าวไกล เคยนำเสนอว่าต้องการทำการเมืองแบบใหม่ แต่กลับเล่นการเมืองแบบเก่าๆ จะกลายเป็นประเด็นปัญหาที่เคยพูดถึงแนวทางนี้ และก่อนหน้านี้ หมออ๋อง เคยบอกว่าตำแหน่งรองประธานสภาฯ เป็นเรื่องของหน้าที่ ไม่ใช่หน้าตา จนกลายเป็นผลเสียต่อพรรคก้าวไกล

“เรื่องนี้ไม่ถึงขั้นผิดจริยธรรม เพราะดำเนินการตามกฎหมาย แต่ประเด็นเป็นเรื่องของความไม่สง่างาม ไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของพรรค และก่อนพรรคก้าวไกลจะมีมติออกมา ตอนแรกยังให้น้ำหนัก 50:50 คิดว่าพรรคก้าวไกลจะทำแนวทางแบบตรงไปตรงมา จากการแสดงเจตจำนงมาโดยตลอด แม้เป็นกติกาที่บิดเบี้ยว ก็ไม่ควรบิดเบี้ยวตามกติกา และต่อไปคงเป็นเรื่องยากที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องกติกาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ คิดว่าจะกระทบต่อพรรค เพราะคนที่เลือกเข้ามาอยากเห็นความตรงไปตรงมา”

ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่ผู้นำฝ่ายค้าน
ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่ผู้นำฝ่ายค้าน

"แยกกันเดิน เปลี่ยนประเทศไปด้วยกัน" แค่วาทกรรม

ขณะที่ข้ออ้าง "แยกกันเดิน เปลี่ยนประเทศไปด้วยกัน" ของพรรคก้าวไกล ถือเป็นวาทกรรมสร้างความชอบธรรมจากการกระทำของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องแยกกันเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะเป็นฝ่ายค้าน และกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภา ซึ่งไม่มีประโยชน์ ดังนั้นพรรคก้าวไกล ควรต้องทำการเมืองให้ตรงไปตรงมา แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงเอาทั้ง 2 ตำแหน่ง ไม่เปลี่ยนแปลง และต่อจากนี้หมออ๋อง จะไปสังกัดพรรคเป็นธรรม แต่หากมีเลือกตั้งใหม่ ก็จะกลับมาอยู่กับพรรคก้าวไกลเหมือนเดิม

พรรคก้าวไกลไม่ทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมา จนเสียแนวทางของพรรค ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพราะอย่างน้อยก็เป็นฝ่ายค้าน และการที่พรรคก้าวไกล ได้เป็นหรือไม่ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ก็ไม่มีผลอะไร ยังสามารถอภิปราย ยื่นกระทู้ได้ตามปกติ อีกทั้งการได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ก็แค่เลือกองค์กรอิสระได้ แต่ขณะนี้ก็แทบไม่มี หรือจะเป็นรัฐบาลเงา ก็แทบทำไม่ได้ เพราะเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง

ที่ผ่านมาเคยเตือนพรรคก้าวไกลมาแล้ว ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง จนรู้สึกเสียดายพอสมควร และควรเลือกตำแหน่งรองประธานสภาฯ เพียงอย่างเดียว เพื่อการบริหารจัดการในที่ประชุมสภาฯ จะดีกว่ากินรวบทั้ง 2 ตำแหน่ง จนส่งผลเสียต่อพรรคกับข้ออ้าง "แยกกันเดิน เปลี่ยนประเทศไปด้วยกัน".

...