ปรากฏการณ์เอลนีโญในปีนี้ ได้ทำให้สภาวะฝนในไทยเปลี่ยนแปลงไป และขณะนี้หลายพื้นที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ตั้งแต่ภาคเหนือ อีสาน กลาง ตะวันออก ใต้ รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล จากหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมพื้นที่ด้านตะวันตกของภาคเหนือ และร่องมรสุมยังคงพาดผ่าน ทำให้มีฝนตกต่อเนื่องและตกหนักบางแห่งในพื้นที่ใกล้กับบริเวณหย่อมความกดอากาศต่ำและร่องมรสุม 

ขณะที่ภาคใต้จะมีฝนตกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านรับมรสุมที่ทิศทางลมพัดเข้าหาหย่อมความกดอากาศต่ำ ต้องระวังฝนตกหนักและฝนตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากได้ คลื่นลมแรงขึ้น โดยเฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน จากการรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา และช่วงวันที่ 30 ก.ย. จนถึง 7 ต.ค. 2566 ร่องมรสุมจะสวิงขึ้นมาพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณจีนใต้ จะเกิดฝนตามแนวร่องมรสุม ทำให้ฝนตกต่อเนื่อง และฝนตกสะสม 

เหลือพายุอีก 16 ลูก ความหวังได้น้ำเพิ่ม ไว้ใช้ปีหน้า

สถานการณ์ฝนต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก่อนจะหมดฤดูฝนในช่วงประมาณกลางเดือน ต.ค.นี้ แม้ฝนที่ตกไปได้เพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ เพื่อช่วยผ่อนคลายปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้บ้าง ยกเว้นจะมีพายุในมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาจากที่เหลืออีก 16 ลูกจนถึงปลายเดือน ธ.ค.ปีนี้ ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้ในระยะยาวว่าจะเข้ามาไทยหรือไม่ จากการระบุของ “รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์” ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต 

...

“ตอนนี้เป็นฝนชุดสุดท้าย มาจากอิทธิพลดีเปรสชันเข้ามาตรงๆ ทำให้ต้นทุนน้ำในไทยกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย และจากนี้ไปฝนจะลดลง แต่ถ้าพายุไม่เข้าเลย ต้นทุนน้ำที่มีอยู่ก็จะเหลือเท่านั้นประมาณ 40-50% ทำให้ปีหน้าเหนื่อยแน่ๆ โดยเฉพาะภาคกลางและตะวันออก เป็นพื้นที่ใช้น้ำเยอะจะเกิดปัญหา เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องบริหารจัดการน้ำให้รัดกุม”

อีกทั้งราคาข้าวขยับขึ้นตันละ 2 พันบาท การจะขอให้เกษตรกรไม่ปลูกข้าวก็ไม่ได้ ซึ่งทางรัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจน ถ้าไม่ปลูกข้าวจะทำอย่างไรจะให้อะไรกับเกษตรกรเป็นการชดเชย หรือหากปลูกข้าวต่อไปน้ำจะไม่เพียงพอ ปลูกได้อย่างมาก 30% ของพื้นที่ และอีก 70% จะทำอย่างไร เพราะเหลืออีกแค่ 1 เดือน จะหมดฤดูฝนจะเริ่มฤดูหนาว 1 พ.ย. หากไม่มีนโยบายที่ชัดเจนจะยิ่งทำให้ต้นทุนชาวนาเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลชุดเก่าไม่มีนโยบายใดๆ ออกมา เมื่อราคาข้าวดีขึ้นชาวนาก็จะปลูกข้าวต่อไป

ในประเด็นเรื่องพายุเกิดไปแล้ว 13 ลูก ยังเหลืออีก 16 ลูก เป็นความหวังที่จะได้น้ำเพิ่ม เพราะตั้งแต่ต้นปียังไม่มีพายุเข้าไทย มีเฉพาะดีเปรสชัน หากพายุโซนร้อนขึ้นไปไม่เข้าไทยในช่วง 3 เดือน หรืออีก 10 วันข้าวหน้ายังไม่มีวี่แวว ทำให้ความหวังจะมีน้ำใช้ไม่น่าจะมีความหวัง แม้ขณะนี้ฝนตกหนัก 3-5 วันในภาคเหนือและอีสาน แต่หลังจากนี้มีแนวโน้มลดลง

“28-29 ก.ย. ฝนตกมากในภาคเหนือ หลังจากนั้นทุกภาคจะไม่มีฝน ร่องมรสุมจะแผ่วลงไปเรื่อยๆ และเหตุน้ำท่วมช่วง 2-3 วันนั้น ก็เกิดจากดีเปรสชัน เป็นเรื่องปกติที่น้ำท่วมในพื้นที่เส้นทางน้ำ ส่วนสัญญาณพายุว่าจะเข้ามาหรือไม่ จะรู้ล่วงหน้า 1 สัปดาห์ ไม่มีใครคาดการณ์ได้ มีแต่สถิติจะเกิดอีก 16 ลูก ยิ่งเป็นปีเอลนีโญ พายุมักจะม้วนขึ้นไปหมดไปทางจีน ไต้หวัน”

น้ำท่วมบางพื้นที่ อีสานลุ่มน้ำชี ด่านหน้าต้องเจอ

กรณีน้ำท่วมในบางพื้นที่ ไม่ใช่น้ำท่วมใหญ่เป็นการท่วมเฉพาะจุดเท่านั้น ส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคอีสานลุ่มน้ำชี เพราะเป็นด่านหน้า อย่างจังหวัดชัยภูมิ และแม่น้ำชีมีระยะทางยาวทำให้ฝนตกหนัก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำชี ขณะที่ภาคอีสาน ไม่มีแหล่งจัดเก็บน้ำเพียงพอ แม้แต่เขื่อนอุบลรัตน์เก็บน้ำได้เพียง 30%

ประเด็นถัดมาที่น่ากังวลในพื้นที่ภาคตะวันออก เนื่องจากมีโรงงานอุตสาหกรรมใช้น้ำในปริมาณมาก และคิดว่าวิกฤติจะเกิดขึ้นในฤดูฝนปีหน้า เพราะต้นทุนน้ำร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ จะต้องบริหารจัดการน้ำให้สามารถใช้ได้ยาวทั้งปี อย่ารอแต่ความหวังบริหารจัดการน้ำแบบเดือนต่อเดือน หรือ 2-3 เดือน จะต้องบริหารให้มีน้ำเหลือใช้ตั้งแต่ครึ่งปีแรก เพราะปีหน้าไม่แน่ใจว่าฝนจะตกมากหรือน้อย หากฝนตกน้อยจะเกิดวิกฤติอย่างแน่นอน.

...