ความพยายามทำให้คนเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง เป็นสิ่งไม่ผิด หากมีการพิสูจน์ชี้ให้เห็นหลักฐาน ก็น่าจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่ที่ผ่านมามนุษย์บนโลกใบนี้ยังหาหลักฐานไม่ได้ แม้แต่นาซาก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ว่ามีมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ ยังคงพยายามศึกษาในเรื่องนี้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกและยูเอฟโอ

ปริศนาคาใจเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว มีตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีการนำซากฟอลซิล 2 ร่าง อ้างว่าเป็นซากสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก มาแสดงต่อรัฐสภาเม็กซิโก จนกลายเป็นที่ถกเถียงในแวดวงวิทยาศาสตร์และผู้คนในสังคม บางส่วนมีความเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงก็เชื่ออย่างสนิทใจ ส่วนคนอีกกลุ่มเชื่อว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด มองว่าซากฟอสซิลเอเลี่ยนน่าจะเป็นการสร้างขึ้นมา อีกทั้ง ไฮเม เมาส์ซัน ผู้นำซากฟอสซิลมาแสดง ก็เคยมีประวัติโกหกแหกตามาแล้ว

แล้วกรณีซากฟอสซิลเอเลี่ยนจากเม็กซิโก บอกอะไรเราได้บ้าง? “ดร.มติพล ตั้งมติธรรม” นักวิชาการดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวด้วยกัน 2 ข่าว โดยข่าวหนึ่งเป็นเรื่องที่นาซาเปิดเผยการประชุมว่าด้วยเรื่องของ UAP ซึ่งเป็นชื่อใหม่ของ UFO ว่ายังไม่เจอกรณีที่ยืนยันได้ว่ามาจากต่างดาวจริงๆ แต่เล็งเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรจะศึกษาอย่างเป็นระบบมากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจ ส่วนอีกเรื่องเป็นการเปิดเผยซากมนุษย์ต่างดาว กลางรัฐสภาของเม็กซิโก ซึ่งทั้ง 2 กรณีมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

...

“กรณีหนึ่งมีความน่าเชื่อถือ ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนอีกกรณีเปรียบได้กับการนำเสนอเรื่องปาหี่ ไม่ได้อ้างอิงหลักการใดๆ ไม่น่าเชื่อถืออ้างว่าเป็นซากมนุษย์ต่างดาว ถ้าพูดจริงๆ ก็ไม่คู่ควรให้ความสำคัญ มันเป็นหลักฐานที่ไม่ใช่หลักฐาน และคนออกข่าวก็เคยมีประวัติมาก่อน สุดท้ายเป็นเพียงมัมมี่เด็กยุคโบราณของนาซกา อีกอย่างทางนาซา ก็วางแผนจะแถลงในวันนั้นอยู่แล้ว ก็น่าสงสัยว่าทางเม็กซิโกตั้งใจจะเลือกวันเดียวกันหรือไม่เพื่อเรียกแขก แล้วทำไมเลือกแถลงในรัฐสภา และหลายอย่างชี้ว่าเหมือนเป็นปาหี่”

สิ่งที่เกิดขึ้นในเม็กซิโก ยังทำให้อดีตนักบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งไปร่วมด้วยก็บอกว่าเป็นเรื่องปาหี่ เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะนาซาพยายามกับเรื่องนี้และบอกว่าควรศึกษา แต่เมื่อทางเม็กซิโกออกมากลับกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม ทั้งที่ควรศึกษาอย่างเป็นทางการและใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นการก้าวถอยหลังแทนที่จะก้าวไปจากเรื่องความเชื่อ และหลักทฤษฎีสมคบคิด ให้เป็นเรื่องต้องพิสูจน์ให้มากกว่านี้ จนข้ออ้างค้นพบดีเอ็นเอ ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไร กลายเป็นคำที่ดูสวยหรู หรือถ้าสมมติไปเจอเอเลี่ยน อาจไม่ใช้ดีเอ็นเอก็ได้ อาจผ่านสารคัดหลั่ง เหมือนโควิด

เพราะในความเป็นจริงแล้ว การตรวจดีเอ็นเอ ทำได้แต่เพียงเทียบกับสิ่งที่ต้องการค้นหาเพียงเท่านั้น ผู้ที่ตรวจโควิดแล้วได้ผลเป็นลบทุกคน ก็จะพบดีเอ็นเอที่ไม่สามารถระบุได้ในตัวอย่างด้วยกันทั้งนั้น เพราะการทดสอบหาเฉพาะดีเอ็นเอของโควิด แต่ไม่เคยได้ยินใครกล่าวอ้างว่าคุณมีดีเอ็นเอที่ไม่สามารถระบุได้ ก็หมายความว่าเป็นเอเลี่ยน ซึ่งการตรวจดีเอ็นเอก็เพื่อบอกว่าใช่สิ่งนี้หรือไม่ แต่ไม่ได้สรุปว่ามาจากต่างดาว หรือถ้ามีดีเอ็นเอจะเป็นอย่างไร แล้วหน้าตามนุษย์ต่างดาวเหมือนมนุษย์โลกหรือไม่

เรื่องมนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ มีทางออกที่ดีที่สุดว่าเราเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ก็มีคำตอบในใจ แต่สำคัญที่สุดต้องค้นหาหลักฐาน อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ก็มีความเชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถปล่อยให้ความเชื่อมาครอบงำได้ สุดท้ายต้องมีหลักฐานมาหักล้าง ต้องปรับความคิด ไม่จำเป็นต้องฟันธง เพราะเราสามารถมีความเชื่อได้เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ และคนที่เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว ย่อมสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดของเขามากกว่าคนไม่เชื่อ ซึ่งที่ผ่านมาเกิดขึ้นบ่อยมากไม่สามารถพิสูจน์ได้ อย่างพีระมิดอิยิปต์ก็บอกว่าเอเลี่ยนสร้างโดยไม่มีหลักฐาน

...

“ถ้าใครเชื่อเป็นการส่วนตัวก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามกระทบคนอื่น ให้คนมาคล้อยตาม ก็เกิดปัญหาแน่นอน และคนไทยที่คิดว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เป็นอุปสรรคต่อวิทยาศาสตร์ มองว่าเป็นการลบหลู่ เพราะถ้าไม่เชื่อก็ต้องลองพิสูจน์ แม้อาจเปลี่ยนเรื่องความเชื่อของคนได้ยากในเรื่องอคติ แต่วิทยาศาสตร์ต้องหาหลักฐาน เอาสมมติฐานที่ไม่เชื่อ หรือเอเลี่ยนไม่มีอยู่จริงเป็นหลักเสียก่อน ตราบเท่าที่ยังไม่มีหลักฐานมาหักล้าง”.