ยกเลิกเกณฑ์ทหารจะทำได้หรือไม่ ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทย เพื่อลดรายจ่ายของภาครัฐ และภายหลังสุทิน คลังแสง เข้าทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ระบุว่าเป็นการเปลี่ยนระบบการเกณฑ์ทหารมาเป็นระบบสมัครใจ เริ่มในเดือน เม.ย. ปี 2567 นั่นหมายความว่าไม่ได้ยกเลิกเกณฑ์ทหาร หากมีคนสมัครไม่ครบตามจำนวนความต้องการของกองทัพก็ต้องเกณฑ์ทหาร ตามพ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2479 กำหนดให้ชายไทยอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ที่ไม่ได้เข้ารับการศึกษาเป็นนักศึกษาวิชาทหาร หรือรด. จะต้องถูกเรียกไปเกณฑ์ทหาร และมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เต็มใจ เพราะทำให้เสียโอกาสหลายอย่างนาน 2 ปี

ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ไม่ง่ายใน 1 ปี ต้องแก้ก.ม. ที่เกี่ยวข้อง

ที่ผ่านมาการรับสมัครทหารแบบสมัครใจทางกองทัพได้ดำเนินการมาแล้ว และการยกเลิกเกณฑ์ทหาร ไม่สามารถทำได้ทันทีในระยะเวลาอันใกล้ จะต้องแก้ไขพ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 และอาจต้องแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งไม่ง่ายเลย สอดคล้องกับความเห็นของ "รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย" อาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในฐานะทีมวิจัยแนวทางการปฏิรูปการรับราชการทหาร (การเกณฑ์ทหาร) ของไทยในศตวรรษที่ 21 มองว่า การยกเลิกเกณฑ์ทหารไม่ง่ายภายใน 1 ปี ต้องแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ยิ่งสภาฯ จากการเลือกตั้ง ก็ยิ่งไม่ง่าย และสว.จะหมดวาระในปีหน้า อาจ มีสว.ออกมาขวาง รวมถึงแรงเสียดทานจากกองทัพ คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี

...

“เรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหารจริงๆ แล้ว มีการพูดมานานจากนโยบายของพรรคการเมืองในช่วงการเลือกตั้ง หรือแม้แต่กองทัพเองก็มีแนวทางในเรื่องนี้ แต่ประเด็นการปฏิบัติจริงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอยู่ในกฎหมายมายาวนานร่วม 100 ปี แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ และกลไกระบบอุปถัมภ์ในกองทัพ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย จนมีวาทกรรมถ้าไม่มีทหารแล้วจะเป็นอย่างไรถ้าเกิดสงคราม หรือจะทำให้พลังของชาติหายไปหรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็น เพราะไม่เกี่ยวกับความมั่นคงประเทศ จะต้องปรับปรุงมุมมองความมั่นคงใหม่ ไม่ใช่เรื่องอาวุธและยุทโธปกรณ์ แต่หมายถึงความมั่นคงแบบใหม่ เช่น ความมั่นคงทางพลังงาน สิ่งแวดล้อม และทางเศรษฐกิจ”

โละระบบอุปถัมภ์ ทิ้งวิธีคิดเดิม เปิดโอกาสทหารเกณฑ์ก้าวหน้า

สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นใหม่ในการปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดของกองทัพ ไม่ใช่วนอยู่กับความคิดเดิมในการเกณฑ์ทหารเป็นการบ่งชี้ในเรื่องความมั่นคง ซึ่งกองทัพต้องปรับตัวในการใช้เทคโนโลยี การศึกษาวิจัยในเรื่องเทคโนโลยีทางทหารและอาวุธ ไม่ใช่ซื้ออาวุธเพียงอย่างเดียว และควรทำให้ขนาดกองทัพเล็กลง "ต้องจิ๋วแต่แจ๋ว" ทั้งการลดกำลังพล และลดซื้ออาวุธ แต่ที่ผ่านมาทำไม่ได้ เพราะติดระบบเชิงโครงสร้างอำนาจ ระบบอุปถัมภ์ และวิธีคิด กลายเป็นสิ่งตกค้างในประวัติศาสตร์ มีการเกณฑ์ทหารให้มารับใช้ตามบ้าน และเอาคนมาฝึกมาใช้เพื่อการสู้รบทำสงคราม รักษาอธิปไตยของชาติเท่านั้น แต่ควรเป็นกองทัพที่มีประสิทธิภาพ และไม่แทรกแซงการเมือง

ก่อนไปสู่การยกเลิกเกณฑ์ทหาร ต้องปรับโครงสร้างเรื่องความก้าวหน้าในวิชาชีพ เช่น ปรับระบบการรับสมัคร เพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อเมื่อพ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์ ให้มีโอกาสเลื่อนขั้นเลื่อนยศได้เป็นนายสิบ นายร้อย และมีหลักประกันให้กับคนในครอบครัว รวมถึงมีสวัสดิการ จะทำให้เกิดแรงจูงใจ กระตุ้นให้คนมาสมัครเป็นทหาร นอกจากนี้ ต้องจัดการเรื่องคอร์รัปชันในการเกณฑ์ทหารให้หมดไป และเงินเดือนทหารเกณฑ์ต้องโปร่งใส จะต้องทำให้คนได้เห็น

...

“วิธีคิดของผู้นำกองทัพต้องเปลี่ยน นำไปสู่การปรับโครงสร้าง อย่ามองว่ามีทหารเกณฑ์เอาไว้รับใช้นายชั้นสัญญาบัตร และเห็นด้วยกับการลดจำนวนนายพล ซึ่งกองทัพก็ปรับลดมาตลอด แต่สัดส่วนต่างๆอาจไม่ชัดเจน คงต้องทำอย่างเปิดเผยโปร่งใส ให้คนสัมผัสและตรวจสอบได้ การมีตำแหน่งนายพลต้องมีเท่าที่จำเป็น จะทำให้กองทัพมีประสิทธิภาพ และงบประมาณจะลดลง เพราะวันนี้กองทัพใหญ่โตเกินไป ทั้งการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ งบตอบแทน การซ่อมแซมต่างๆ ก็วนเวียนกันไป อย่างเรือหลวงสุโขทัย หรือกรณีเฮลิคอปเตอร์ตกหลายครั้ง เป็นผลจากการซ่อมบำรุง ทำไมไม่มีประสิทธิภาพ ซ่อมอันนี้เสร็จก็ไปซ่อมอันนี้ต่อ”

กฎหมายถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการยกเลิกเกณฑ์ทหารทำให้ไม่ง่าย แม้พรรคเพื่อไทยเคยประกาศเอาไว้ แต่อาจไม่ชัดเจนเท่ากับของพรรคก้าวไกล เพราะฉะนั้นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำอาจไม่ใช่นโยบายหลัก อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นพลเรือน และไม่ใช่นายกรัฐมนตรีนั่งควบเหมือนในอดีต ยิ่งเป็นที่คาดหวังของสังคม และสุทิน คลังแสง เคยพูดเรื่องนี้ไม่น้อย จนทำให้สังคมต้องจับตาดูอยู่แล้ว จะต้องตอบกับสังคมให้ได้ ถือเป็นโจทย์หินของสุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเป็นอีกโจทย์ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย.

...