กลายเป็นคลิปสุดประทับใจบนโซเชียล หลังครูบรรจุใหม่ ต้องเดินทางมาอยู่ที่โรงเรียนบ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ริมชายแดนทุรกันดาร สุดอึ้งมาวันแรกดินถล่มถนนขาด ต้องนั่งเรืออ้อมเข้าโรงเรียน เผยเด็กส่วนหนึ่งอยู่หมู่บ้านห่างไกล ครูต้องนั่งเรือไปส่งนักเรียนวันละ 2 รอบ วอนคนใจบุญช่วยอาหารกลางวันเด็ก

คลิปวิดีโอแสนอบอุ่น แต่สะท้อนชีวิตของครูชายแดนในพื้นที่แม่น้ำสาละวิน ถูกเผยแพร่บนติ๊กต่อก โดยผู้ใช้ชื่อ parnnie.s (ป่าน ปภัสรา) เป็นครูที่เพิ่งบรรจุใหม่ โดย จ่าอากาศเอกหญิงปภัสรา ศรีสุมิตร ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เจ้าของคลิปเปิดเผยกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ตนเพิ่งได้รับการบรรจุเป็นครูผู้ช่วยที่โรงเรียนบ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ไม่เคยคิดว่าต้องมาเป็นครูชายแดน ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาโรงเรียน ทางรถยนต์ที่เข้ามาก็โดนดินถล่มหลายจุด ทำให้ไม่สามารถเข้ามาโรงเรียนด้วยทางรถได้ ตอนนี้ผ่านมาเดือนกว่า แต่ถนนยังปิดอยู่ ทำให้ครูต้องนั่งเรืออ้อมไปตามแม่น้ำสาละวิน เพื่อเข้าไปที่โรงเรียน ช้ากว่าเดินทางด้วยรถหลายชั่วโมง

...

“ตอนแรกมาก็ตกใจ เพราะครูไม่เคยเจอสภาพทุรกันดารขนาดนี้ เลยได้ทำประกันชีวิตไว้ โดยเฉพาะการต้องนั่งเรือไปส่งนักเรียนทุกวันตามลำน้ำสาละวิน เพราะมีหมู่บ้านพระระอึก มีเด็กอยู่เยอะ ครูต้องนั่งเรือไปส่งเด็กทุกเย็น เรือจะรับส่งนักเรียนครั้งละ 2 เที่ยว เพราะมีเด็กในหมู่บ้านประมาณ 50-60 คน ซึ่งแบ่งเด็กมาเที่ยวละ 30 คน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที”

เส้นทาง "เรือโรงเรียน" ในฤดูน้ำหลาก น้ำลึก บางช่วงเป็นน้ำวนไหลเชี่ยว คนขับเรือเป็นชาวบ้านในพื้นที่ แต่เรือไม้เป็นของโรงเรียนที่ใช้งานมาค่อนข้างนาน โรงเรียนมีเรือเพียงลำเดียว ทำให้ต้องตระเวนรับส่งเด็กวันละ 2 เที่ยว เนื่องจากเรือรับน้ำหนักไม่ไหว ทุกเช้าเรือออกจากหมู่บ้านก่อนเจ็ดโมง เพื่อให้ถึงโรงเรียนก่อนเคารพธงชาติ พอขากลับ ครูจะนั่งเรือมาส่งนักเรียน โดยมีครูประจำเรือ 3 คน นั่งหัวเรือและท้ายเรือ ต้องคอยดูเด็กนั่งเรียน เพราะเด็กเล็กบางคนซน เล่นกันตอนเรือกำลังวิ่ง จะตกเรือได้

เรือโรงเรียนที่วิ่งรับส่งนักเรียน ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายกับผู้ปกครอง ถือเป็นภาระที่โรงเรียนต้องสำรองจ่ายค่าน้ำมันจำนวนมาก ประกอบกับเครื่องยนต์เรือเก่ามาก ทำให้แต่ละครั้งเวลาเร่งความเร็ว มีควันดำออกมาจำนวนมาก ครูก็ต้องให้เด็กปิดจมูกปิดปาก เพื่อไม่ให้สูดควันดำเข้าไป

นักเรียนที่โดยสารบนเรือโรงเรียน มีเสื้อชูชีพประจำตัวคนละอัน แต่ได้รับบริจาคมานาน ทำให้เด็กบางคนเริ่มโต ไม่สามารถใส่เสื้อชูชีพได้ ครูต้องคอยเฝ้าระวังเด็กที่ไม่มีเสื้อชูชีพเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันครูต้องสวมเสื้อชูชีพอยู่ตลอด เพื่อความปลอดภัย น้ำค่อนข้างลึกและไหลเชี่ยว บางครั้งเจอแก่งทำให้เรือเร่งความเร็วโต้คลื่นที่เป็นน้ำวน ซึ่งครั้งแรกๆ ที่ไปส่งนักเรียนค่อนข้างกลัว

ด้วยเด็กในพื้นที่ยากจน ทำให้โรงเรียนเป็นเหมือนที่พึ่งของเด็ก เพราะเด็กบางส่วนกินอยู่ในหอพัก ด้วยความที่ช่วงนี้ถนนถูกดินถล่มตัดขาด ทำให้โรงเรียนต้องใช้เรือไปซื้อวัตถุดิบ เพื่อมาทำกับข้าวที่ตลาดในเมืองประมาณ 3 วัน 1 ครั้ง เพราะที่โรงเรียนไม่มีไฟฟ้า ทำให้ไม่มีตู้เย็นเก็บเนื้อหมูไว้ได้นาน แต่ด้วยเรือมี 1 ลำเดียว แล้วต้องรับส่งนักเรียนทุกเช้าเย็น ทำให้ตอนนี้โรงเรียนต้องใช้เรือค่อนข้างหนัก หากมีผู้ใจบุญประสงค์บริจาคเรือ และอาหารกลางวันให้กับเด็ก สามารถติดต่อมาที่โรงเรียนได้

...

ตอนนี้เรือในการไปซื้อของที่ตลาดไม่พอ ทำให้ครูต้องไปจ้างเรือชาวบ้านเที่ยวละ 1,000-2,000 บาท ทำให้สูญเสียงบประมาณไปจำนวนมาก แม้งบประมาณมีเพียงน้อยนิด แต่ต้องจ้างเรือ เพราะไม่เช่นนั้นเด็ก จะไม่มีอาหารทาน หลายครั้งที่ครูไม่ได้เข้าไปตลาด เด็กก็ต้องกินแต่ลูกชิ้น บางครั้งต้มไก่กับฟัก แต่เนื้อไก่ไม่พอก็ต้องแบ่งให้เด็กเล็กกินก่อน หลายครั้งต้องให้ชาวบ้านไปหาหน่อไม้ มาทำอาหารกลางวันใส่แทนเนื้อหมู

“ถึงเป็นครูบรรจุใหม่ เจอความยากลำบากทั้งโคลนถล่ม นั่งเรือไปรับส่งเด็กทุกวัน แต่ครูไม่รู้สึกท้อ เพราะเด็กที่นี่พร้อมเรียนรู้ ประกอบกับเด็กๆ ยังไม่มีความรู้เรื่องภาษาไทย การมาบรรจุที่นี่ถือว่าได้บุญ แล้วทำให้เห็นถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของครู เพราะมีเด็กที่ลำบาก รอคอยให้ครูมาช่วยเหลืออยู่อีกหลายชีวิต”