ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk) ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก จากรายงานของศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ระบุว่า ได้สร้างความเสียหายให้แก่ผลผลิตภาคการเกษตรทั่วโลกอยู่ที่ราวปีละ 71.6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 2573 ความเสียหายในภาคการเกษตรจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ราวปีละ 502.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ปรากฏการณ์เอลนีโญในรอบนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว อ้อย และมันสำปะหลังของไทย จากภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ปลายปี 2566 และทวีความรุนแรงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 จะทำให้ผลผลิตการเกษตรเสียหายราว 5.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการใช้น้ำในสัดส่วนสูงถึง 70-80% ของการใช้น้ำทั้งหมดในแต่ละปีของไทย อีกทั้งพื้นที่เพาะปลูกอยู่นอกเขตชลประทานมากถึง 78% ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีข้อจำกัดในการปรับตัว โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรกรรมมากที่สุด 

ข้าวประมาณ 3.2 ล้านตัน จะได้รับความเสียหายมากที่สุดราว 2.8 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะข้าวนาปรัง และส่งกระทบต่ออัตรากำไรของโรงสีข้าว เช่น โรงสีรายใหญ่ จะมีอัตรากำไรลดลงเหลือ 2.6% ในปี 2567 จาก 3.0% ในปี 2565 โดยศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS แนะนำเกษตรกรศึกษาการเพาะปลูกที่ใช้น้ำน้อยลง และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน ส่วนผู้ประกอบการเกษตรแปรรูป ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการวัตถุดิบ และศึกษากฎระเบียบการค้าด้านสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น ส่วนภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำ และสนับสนุนการวิจัยพันธุ์พืชที่ทนแล้ง 

...

ข้อมูลของ Global Climate Risk 2021 ชี้ว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก มีโอกาสสูงที่จะเผชิญกับสภาพอากาศที่สูงขึ้นกว่าปกติ และสภาพอากาศสุดขั้ว ล่าสุดปี 2566 ไทยเจอกับปัญหากับสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชีย เห็นได้จากในช่วงเดือน เม.ย. 2566 มีรายงานว่า จ.ตาก มีอุณหภูมิสูงถึง 45.4 องศาเซลเซียส สอดคล้องกับข้อมูลอุณหภูมิของแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเดือน เม.ย. ปี 2566 สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตปี 2533-2563 ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนลดน้อยลง ทำให้ไทยต้องเผชิญความเสี่ยงกับปัญหาขาดแคลนน้ำอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

ปีนี้ฝนน้อย เกษตรกรต้องปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก

การเตรียมพร้อมรับมือความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะภาคการเกษตร “ดร.สุทัศน์ วีสกุล” ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ระบุว่า ทางสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำมีหน้าที่ให้ข้อมูลสารสนเทศให้กับชุมชน ทั้งสถานการณ์ฝน และระดับน้ำแบบรายชั่วโมง รวมถึงข้อมูลรายวันล่วงหน้า 7 วัน จากสถานีต่างๆ ซึ่งครอบคลุมแม่น้ำหลักๆ และพื้นที่ใกล้ชุมชนเป็นส่วนใหญ่ ผ่านแอปพลิเคชัน “ThaiWater” และเว็บไซต์ www.Thaiwater.net เนื่องจากปีนี้ฝนมาช้า 1-2 เดือน เพื่อให้เกษตรกรนำไปวางแผนปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกให้ถูกต้อง แม้ขณะนี้ยังไม่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญอย่างชัดเจน อุณหภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิกต้องสูงขึ้น 0.5 องศาเซลเซียส กว่าค่าเฉลี่ย 30 ปี

“เมื่อทราบข้อมูลจะต้องปรับตัว และเรียนรู้ จากการดูข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการเก็บน้ำ ปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก ทำให้ขณะนี้มีเกษตรกรส่วนใหญ่ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์ มีผลกระทบบ้าง แต่ยังพอแก้ไขได้ อย่างที่ทราบว่าปีนี้ฝนน้อย ต้องสร้างฝายในชุมชนไว้เก็บน้ำเพื่อรับมือภัยแล้ง และทีแรกคาดการณ์ว่าเดือน ก.ค.ถึงเดือน ส.ค. จะเกิดเอลนีโญ แต่ไม่เกิด จะต้องติดตามโดยใช้ค่าเฉลี่ย 3 เดือน เพราะอุณหภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิกเปลี่ยนแปลงช้า แต่หน่วยงานอื่นก็บอกไปแล้วว่าเกิดเอลนีโญ ก็เป็นผลดีให้คนเตรียมรับมือในช่วงเอลนีโญใกล้แตะเข้ามา”

เอลนีโญ ใกล้เข้ามา ฝนทิ้งช่วง ต้องวางแผนบริหารน้ำ

แม้ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญยังไม่เกิด แต่สถานการณ์ฝนมีการแปรเปลี่ยนจะต้องมีการวางแผน อย่างกรมชลประทานได้งดส่งน้ำสำหรับข้าวนาปีตั้งแต่เดือน ส.ค.จนถึงเดือน ธ.ค. เพราะข้าวใช้น้ำเพาะปลูกมากสุด เพื่อไม่ให้รับผลกระทบมาก แต่ก็มีชาวนาที่ต้องเช่าที่จะต้องเสี่ยงปลูกข้าว ส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางและลุ่มเจ้าพระยาภาคกลาง ซึ่งฝนทิ้งช่วง และยังมีพื้นที่ตอนกลางของประเทศใกล้กับจ.นครราชสีมา และพื้นที่บางส่วนในภาคเหนือตอนล่าง

...

ขณะนี้ฝนเริ่มตกต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.ไปจนถึง 30 ส.ค. จากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นลมทำให้เกิดฝน มีความเร็วต่อเนื่องมากขึ้นไปทั่วประเทศ ทำให้สถานการณ์จะดีขึ้น และโดยปกติตั้งแต่เดือน ส.ค.ถึงเดือน ก.ย. ต้องเก็บน้ำในพื้นที่ชลประทาน มีประมาณ 20% ส่วน 80% นอกเขตชลประทานไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ จะมีแต่แหล่งน้ำชุมชน เป็นช่วงจะต้องเก็บน้ำอย่างเต็มที่ ทางหน่วยงานท้องถิ่นต้องดูแลทางน้ำอย่างจริงจังให้น้ำไหลเข้ามายังแหล่งเก็บน้ำ และดูแลสิ่งปลูกสร้างไม่ให้กีดขวางทางน้ำ เพื่อให้สามารถเก็บน้ำได้

ปรากฏการณ์เอลนีโญในปีหน้าจะรุนแรงหรือไม่ จะทราบได้ในช่วงปลายปีนี้ หรืออาจเท่ากับค่าเฉลี่ย อาจแล้งต่อเนื่อง หรือแล้งแบบปีเว้นปี เป็นปีน้ำน้อย และปีหน้ามีความกังวลโดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพราะขณะนี้มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 2 พันกว่าล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น จะต้องมีน้ำมากกว่านี้ให้ได้อย่างน้อย 5-6 พันกว่าล้านลูกบาศก์เมตร แต่หากปริมาณน้ำน้อยจริง ก็ต้องผันน้ำมาจากเขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์ อีกทั้งวันที่ 1 พ.ย.จะสิ้นสุดฤดูฝน ต้องทำแผนรองรับหากน้ำไม่เพียงพอ เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น.

...