การโหวตนายกฯ รอบสอง วันที่ 19 ก.ค. เต็มไปด้วยอุปสรรค จากข้อถกเถียงในที่ประชุมรัฐสภา จะสามารถเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พิจารณาซ้ำได้อีกหรือไม่ โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคขั้วอำนาจเดิม และ ส.ว. ชี้ว่าเป็นญัตติพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธาได้ตกไปแล้ว ตามข้อบังคับการประชุมสภา ข้อที่ 41 ยิ่งทำให้ พิธา มีโอกาสสูงที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์
ในเวลาต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับคำร้องตามที่ กกต.ขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. ของพิธา กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี และมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ได้สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนพิธา จากนั้น พรรคก้าวไกล ออกแถลงด่วนยืนยัน พิธา ยังสามารถเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ตามกฎหมาย แต่สถานการณ์ในที่ประชุมรัฐสภาไม่สู้ดี เนื่องจากมีการถกเถียงในเรื่องข้อบังคับการประชุมว่าจะสามารถเสนอชื่อพิธา ให้รัฐสภาพิจารณาอีกครั้งได้หรือไม่
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพิธา หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. และมีแนวโน้มสูงจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี “รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส” คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ระบุว่า เป็นไปตามคาด เป็นไปตามไทม์ไลน์ และเมื่อดูตามรูปการณ์แล้วจะโดนเหมือน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จากการถือหุ้นสื่อเช่นกัน แต่น่าจะมีการสอบสวนว่าไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่ เพราะจากรายงานข่าวว่าบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการประชุม มีความพยายามทำให้ไอทีวีเป็นสื่อ จะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญ พยายามรวบรัดให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่มีการสอบสวน ทำให้ประชาชนตั้งข้อสงสัยการวินิจฉัยจะเป็นไปในทิศทางไม่น่าจะเป็นไปตามความต้องการของประชาชน
...
ส่วนข้อถกเถียงในที่ประชุมรัฐสภาในเรื่องข้อบังคับการประชุมว่าจะสามารถเสนอชื่อพิธา ให้พิจารณาซ้ำอีกได้หรือไม่ เพื่อจะได้เป็นบรรทัดฐานต่อไปนั้น ไม่มีผลต่อพิธา จะได้รับชัยชนะในการโหวต เพราะผลที่ออกมาคงไม่ต่างจากการโหวตรอบแรก แต่ก้าวต่อไปของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก จะต้องเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ในการโหวตครั้งต่อไป ซึ่งต้องดูว่าทาง ส.ว.จะโหวตให้ผ่านหรือไม่
“การที่ ส.ว.จะไม่โหวตให้อีก ไม่ใช่หน้าที่ของ ส.ว.ในการจัดตั้งรัฐบาล แต่มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย อย่ามาตั้งเงื่อนไขโน่นนี่นั่น ไม่ใช่หน้าที่ ส.ว. เป็นเหตุผลที่ก้าวไกล เสนอแก้มาตรา 272 เพราะสภาสูงควรมีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น ไม่มีหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติ และตรวจสอบเสียงของประชาชน กลายเป็นการใช้อำนาจก้าวล่วงเกินกว่าหน้าที่ ส.ว.”
สถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดรัฐบาลข้ามขั้ว และดีลลับลังกาวี ดูเหมือนจะเป็นจริง ถ้าพรรคเพื่อไทย กระโดดจากพรรคก้าวไกล ออกมาก่อน ก็จะตกเป็นจำเลยของสังคม เพราะพยายามไปจับมือกับอีกซีกขั้วหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะกับพรรค "2ลุง" ทั้งพรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ จะทำให้ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ
“ประเทศเหมือนจะเปลี่ยนได้ แต่ก็ไม่ผ่าน หลังประชาชนมีความหวังในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ แต่กลับมาเจอขบวนการนิติสงครามออกมาสกัดพิธา และก็สกัดก้าวไกล เพื่อจะผลักดันให้เพื่อไทยข้ามขั้วไปจัดตั้งรัฐบาล อาจเกิดการเมืองบนท้องถนน เพราะดูจากโซเชียลคนออกมาแสดงความรู้สึกไม่พอใจ รู้สึกว่าทำไมเป็นแบบนี้ หลังได้ออกมาใช้สิทธิ์ในวันเลือกตั้ง และคาดว่าศาลรัฐธรรมนูญ คงจะวินิจฉัยอย่างรวดเร็วในการยุบพรรคก้าวไกล เป็นฉากทัศน์ต่อไปเหมือนกับการสกัดอนาคตใหม่”
ฉากทัศน์การเมืองไทยต่อจากนี้ จะต้องจับตาดูพรรคเพื่อไทย เพราะคือตัวแปรสำคัญ ถ้ายังจับมือแน่นกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก โดยไม่กระโดดข้ามขั้ว และยังสามารถเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรี ซึ่งประชาชนยังเห็นด้วย แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยรีบร้อนรวบรัดไปจับมือข้ามขั้ว จะทำให้การเมืองเปลี่ยนทันที และจะเห็นความไม่พอใจของประชาชน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เสียงตัดสินของประชาชน.
...