19 ก.ค.นี้ เป็นการโหวตนายกฯ รอบที่ 2 หลังจากครั้งแรกมีการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แต่ไม่สามารถฝ่าด่าน ส.ว.ไปได้ ล่าสุด พรรคก้าวไกล ยืนยันพร้อมสู้ต่อ โดยมีการยื่นหนังสือเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. ตามมาตรา 272 แต่นักวิชาการทางการเมืองกลับมองว่าเป็นเรื่องยากที่ พิธา จะได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ ขณะที่ พรรคเพื่อไทย แม้มีคะแนนเสียงเป็นอันดับ 2 แต่เป็นช่วงเวลาได้เปรียบที่จะเสนอชื่อตัวแทนพรรคในการโหวตนายกฯ ครั้งถัดไป
จากคะแนนโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งแรกมีการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ได้รับคะแนนเห็นชอบ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง งดออกเสียง 199 เสียง ทำให้คะแนนการเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่งของที่ประชุม ส.ส. และ ส.ว. จนต้องมีการเสนอชื่อเพื่อโหวตนายกฯ เป็นครั้งที่ 2
รศ.ดร.ธนภัทร ปัจฉิมม์ คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิเคราะห์เกมการโหวตนายกฯ รอบที่ 2 กับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า พรรคก้าวไกล ยังยืนยันที่จะเสนอชื่อคุณพิธาในการโหวตอีกครั้ง คาดว่าจะมีคะแนนเสียงจาก ส.ว.เพิ่มขึ้นไม่เกิน 15 เสียง จากเดิม 13 เสียง แต่ไม่เกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมทั้งหมด การโหวตเลือกนายกฯ ครั้งใหม่ คะแนนเสียงไม่น่าจะแตกต่างจากครั้งแรก โดยประเด็นที่ ส.ว. และ ส.ส.บางส่วนยืนยันไม่โหวตให้ เนื่องมาจากมาตรา 112 ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเสนอเงื่อนไขชัดเจนว่า ถ้าไม่ยุ่งมาตรา 112 จะโหวตให้ แต่ในภาวะนี้ พรรคก้าวไกล กำลังติดหล่มในเรื่องของนโยบายที่ถอยไม่ได้ สิ่งนี้อาจทำให้พรรคลำดับที่ 2 คือ เพื่อไทย หันมาจัดตั้งรัฐบาลแทน แม้ก้าวไกลจะมีการปลุกมวลชนลุกขึ้นมากดดัน ส.ว. สุดท้ายก็ไม่สามารถกดดันได้ แม้มีการยื่นหนังสือเพื่อให้ใช้มาตรา 272 ในการไม่ให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ได้ แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้นต้องใช้เวลานาน
...
“การโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 ประเมินว่าเป็นความอดทนอดกลั้นของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมทั้ง 8 พรรค หลายคนทราบว่ายิ่งโหวตยิ่งยากจะชนะ หากยังเสนอชื่อเดิม ความได้เปรียบทางการเมืองขณะนี้อยู่ที่ฝั่งเพื่อไทย เพราะเชื่อว่าก่อนโหวตรอบนี้มีการอภิปรายอย่างหนัก เกี่ยวกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภาในการยื่นญัตติซ้ำซ้อน เพื่อกันไม่ให้เสนอชื่อคุณพิธาเข้ามาโหวตนายกฯ อีกรอบ สิ่งนี้ทำให้ 8 พรรคร่วมต้องเตรียมแผนสำรองไว้ด้วย”
หากเช็กขุมกำลังพรรคเพื่อไทย ขณะนี้ถือว่ามีความพร้อมมากที่สุดในการฟอร์มทีมรัฐบาลใหม่ เพียงแต่ว่าจะเสนอใครเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพราะมี 3 รายชื่อ ขณะเดียวกันหากวิเคราะห์สูตรจัดตั้งรัฐบาล หากเพื่อไทยเปลี่ยนมาจัดตั้งรัฐบาลได้ดังนี้
สูตรที่ 1 พรรคเพื่อไทย คงสูตรการจัดตั้งรัฐบาลทั้ง 8 พรรคเดิม โดยมีพรรคก้าวไกลร่วมด้วย เมื่อรวมกันแล้วมี ส.ส. 312 เสียง พอไปรวมกับคะแนนเสียง ส.ว.ที่เคยโหวตนายกฯ อาจไม่ได้กึ่งหนึ่งของที่ประชุมสภาทั้งหมดคือ 376 เสียง ดังนั้น เพื่อไทย ต้องไปหาพรรคอื่นเข้ามาร่วมรัฐบาลเพิ่ม ซึ่งจะผ่านการโหวตแบบเฉียดฉิว
สูตรที่ 2 พรรคเพื่อไทย เชิญพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่สิ่งที่ตามมาคือ พรรคก้าวไกล จะออกไปอยู่ฝั่งตรงข้าม
สูตรที่ 3 พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และรวบรวมเสียงจากพรรคขั้วรัฐบาลเดิม โดยฝั่งฝ่ายค้านคือ พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ แต่อย่าลืมว่าวันนี้เมื่อ บิ๊กตู่ วางมือทางการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติอาจยุบรวมกับพรรคพลังประชารัฐในอนาคตได้ นี่ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกมการเมืองเปลี่ยน.