วัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือครูหยุย สมาชิกวุฒิสภา ที่งดออกเสียงในการเลือกนายกฯ ครั้งแรก ทำให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ไม่สามารถฝ่าด่านทางการเมืองก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดได้ โดยประเมินว่า การโหวตนายกฯ ครั้งต่อไป ต้องพิจารณาข้อบังคับของรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่จะเสนอคนเดิมได้หรือไม่ แต่สำหรับ ส.ว. ยังคงยึดมั่นในแนวทางเดิม

วัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ ครูหยุย สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ตอนแรกที่ประเมินไว้น่าจะมี ส.ว. โหวตให้คุณพิธา ประมาณ 10 เสียง แต่เมื่อถึงวันจริงมีเพิ่มเป็น 13 เสียง ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่สามารถเห็นต่างกันได้ และเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย

การโหวตนายกฯ รอบต่อไป ต้องไปดูข้อบังคับของรัฐธรรมนูญ ว่าสามารถเสนอคนเดิมได้หรือไม่ เพราะมาตรา 272 วรรค 2 มีความหมายว่า ถ้าบัญชีรายชื่อที่ได้รับการเสนอแล้ว พรรคการเมืองเดิมจะเสนอชื่อโหวตนายกฯ ต้องเป็นคนนอก แต่ต้องมีเสียงสนับสนุนถึง 500 เสียงของทั้งสภา จึงเป็นเรื่องค่อนข้างยาก และไม่เหมาะที่จะนำคนนอกมาด้วย ทำให้ต้องหันมาเลือกคนที่เป็นบัญชีรายชื่อของพรรคอื่น แต่เป็นพรรคการเมืองไหนก็แล้วแต่การคัดเลือก

...

ตามข้อบังคับ มีกำหนดว่า เมื่อญัตติใดเสนอแล้วตกไปก็ห้ามเสนอใหม่ เปรียบเทียบคล้ายกับการขึ้นศาล แม้สามารถอุทธรณ์ได้ แต่ต้องมีข้อมูลใหม่ ดังนั้นข้อบังคับจึงระบุว่า เว้นแต่ว่าญัตตินั้นมีสาระใหม่ ถ้าเรื่องนั้นเป็นสาระเดิมก็ไม่น่าจะได้ ตัวผมเองมองว่าแบบนั้น แต่โดยส่วนตัวไม่ได้ รังเกียจคุณพิธา ทุกอย่างขึ้นอยู่ว่าทางประธานสภา จะเรียกทุกฝ่ายไปนั่งคุยกัน โดยคาดว่าจะมีการพูดคุยกันประมาณวันจันทร์ที่ 17 ก.ค.นี้ เนื่องจากการพิจารณาเพื่อเลือกนายกฯ จะปล่อยไว้นานไม่ได้

“จากการฟังวันนี้ ถ้ายังยึดมาตรา 112 อยู่ จะยิ่งลำบาก เพราะ 17 พรรคการเมืองในสภาเขาไม่เอาการแก้ไขมาตรา 112 แต่ทุกอย่างต้องยึดตามเสียงส่วนใหญ่ แต่จากการดูวันนี้ ที่ตอนแรกคาดว่า ส.ว.จะงดออกเสียงมาก ซึ่งพอโหวตจริงๆ กลับมีที่ไม่เห็นด้วยค่อนข้างมาก เพราะประเด็นมาตรา 112 ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่ตัวร่าง แต่หมายถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาด้วย เลยทำให้หลายคนไม่สบายใจ โดยผมเชื่อว่า ส.ว.ส่วนใหญ่ ยังยึดมั่นในแนวทางเดิม”

สำหรับประเด็นการตั้งคำถามต่อ ส.ว. จึงอยากให้ประชาชนรับฟังกันมากๆ เพราะถ้าเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาจะต้องฟังการอภิปราย และวิเคราะห์เหตุผลมาประกอบการพิจารณา ขณะเดียวกันประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่การข่มขู่ หรือคุกคาม แต่ต้องเคารพความเห็นต่าง

การชุมนุมถือเป็นเรื่องปกติของประชาธิปไตย วันนี้ถือเป็นการชุมนุมที่สงบและสร้างสรรค์ และเป็นการแสดงพลังที่จะต้องมีในทุกยุค เพราะผมก็เคยอยู่ในม็อบมาก่อน แต่ยังเชื่อว่า ยังไงก็จะเกิดดุลยภาพทางการเมือง ที่มีทางออกที่ทุกคนยอมรับได้.