13 ก.ค.นี้ เป็นการประชุมสภา เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรี แม้พรรคก้าวไกลมีคะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 และพรรคร่วมเตรียมเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก้าวสู่เก้าอี้สูงสุด แต่ต้องฝ่าด่านสำคัญของ ส.ว. ที่ตอนนี้หลายท่านยังยืนกรานไม่โหวตให้ ขณะที่บางส่วนยังไม่แสดงท่าทีชัดเจน จึงเป็นอีกรอยต่อสำคัญของการเมืองไทย ซึ่งการโหวตเลือกนายกฯ อาจใช้เวลานานข้ามวัน มากกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา

รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก วิเคราะห์ประเด็นการโหวตนายกฯ ของ ส.ว. ว่า เกมการเมืองในการโหวตนายกฯ วันที่ 13 ก.ค.นี้ เป็นอีกช่วงเวลาสำคัญที่ ส.ว.จะได้ใช้อำนาจตามตำแหน่ง เพื่อชี้ชะตาประเทศไทย การตัดสินใจลงมติครั้งนี้จะส่งผลอย่างมากต่อประชาชน ประเทศชาติ และมีผลโดยตรงต่อคณะ ส.ว.ด้วย

การโหวตเลือกนายกฯ ครั้งนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้รับคัดเลือกด้วยคะแนนเสียง 14,438,851 คะแนน และได้ ส.ส.รวมทั้งหมด 151 คน ถือเป็นพรรคที่ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 จึงเป็นความชอบธรรมที่ควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามฉันทามติประชาชน

...

สำหรับข้อกล่าวหาต่างๆ ที่มีผู้ร้องเรียนต่อคุณพิธา ขณะนี้ยังคงเป็นเพียงข้อกล่าวหา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหา หรือจำเลย ไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด ต้องปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้ที่กระทำผิดมิได้

ดังนั้น กรณีของคุณพิธายังไม่มีศาลใดพิพากษา หรือแม้แต่ประทับตราฟ้อง ย่อมถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ที่จะได้รับลงมติให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ลงคะแนนให้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
การเลือกนายกฯ ครั้งนี้ เสียงของ ส.ว.จึงเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะถ้าเลือกลงคะแนนให้พิธา ตามมติเจตจำนงของมหาชน โดยเห็นชอบให้พิธาเป็นนายกฯ ประเทศจะสามารถเดินหน้าตามครรลองประชาธิปไตยต่อไป ขณะที่ประชาชนจะยินดีที่เสียงของพวกเขาได้รับการตอบสนอง ในฐานะเจ้าของประเทศ บ้านเมืองจะสงบสุข ไม่มีการเมืองบนท้องถนน

ส.ว.จะได้รับการยกย่องให้เป็นผู้กล้าหาญ มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย เป็นอิสระจากระบบอุปถัมภ์ทั้งปวง แต่ถ้า ส.ว.ไม่ยอมรับฟังความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ ตัวท่านเองจะเป็นจำเลยของสังคม และถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า เป็นผู้ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ในภาพรวมของทั้งประเทศ

ขณะนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองไทย ท่าน ส.ว.ทั้งหลายจึงต้องตระหนักว่านี่คือช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคประชาธิปไตยตามแบบอารยะ ถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ท่านร่วมสร้างให้กับประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ และจะถูกจดจำไว้นับจากนี้ ซึ่งการตัดสินใจของ ส.ว.จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ประเทศเดินต่อไปได้ หรือต้องกลับมาในวังวนการเมืองเดิม.