ตำแหน่งประธานสภา รองประธานสภา คนที่ 1 และคนที่ 2 ไม่พลิกโผ เป็นของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก หลังการลงมติในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และแน่นอน วันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ แม้ไม่ใช่พรรคอันดับ 1 แต่ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานสภาเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่งผลให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาคนใหม่ คนที่ 32 ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562
ขณะที่ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ได้คะแนนเกินครึ่งของสภา 312 ต่อ 105 เสียง ด้วยมติไม่แตกแถวของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ได้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 ชนะวิทยา แก้วภราดัย พรรครวมไทยสร้างชาติ จากขั้วเสียงข้างน้อย แต่ที่น่าสนใจในการโหวตลับมีการงดออกเสียงมากถึง 77 เสียง และมีบัตรเสีย 2 เสียง น่าจะมีนัยอะไรหรือไม่เกี่ยวกับเอกภาพของพรรคการเมืองเสียงข้างน้อย ส่วนพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ดำรงตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 2 แบบไม่มีคู่แข่ง ไม่ต้องโหวตลับ

นับจากนี้ต้องจับตาดูการเมืองไทยก้าวเข้าสู่โหมดเลือกนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล แม้ได้เสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก 312 เสียง แต่ยังไม่เพียงพอ จะต้องฝ่าด่านหินส.ว. ให้ได้เสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 376 เสียง จาก ส.ส. 500 เสียง รวมกับ ส.ว. 250 เสียง และยังมีอีกหลายๆ อุปสรรค อาจไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ตามเจตนารมณ์เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ท่ามกลางกระแสออกมาว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จากการเสนอของพรรคพลังประชารัฐ หรืออาจเป็นการโยนหินถามทางเพื่อเช็กกระแสก็ได้
...

เมื่อการขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีของพิธา ยังลูกผีลูกคน แล้วใครจะมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ในมุมมองของ “รศ.ดร.ธนภัทร ปัจฉิมม์” คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ยอมรับว่า พิธา อาจไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามเป้า เป็นสิ่งที่น่ากังวลของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะตำแหน่งประธานสภาของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งเป็นนักการเมืองมีพื้นฐานมาจากพรรคเพื่อไทยและพรรคไทยรักไทย ล้วนมีรากเหง้ามาจาก ทักษิณ ชินวัตร ก่อนมาตั้งพรรคประชาชาติ
“ประเด็นต่อไป หลังได้ประธานสภา จะเป็นข้อกังวลในการเลือกนายกฯ หากการเมืองไทยยังเป็นแบบนี้ คิดว่านายกฯ ไม่ได้มาจากก้าวไกล เพราะสถานการณ์พลิกไปมา สุดท้ายตาอยู่อาจเอาไปกิน ถามว่าจะฟันธงหรือไม่ว่านายกฯ จะเป็นของเพื่อไทย ก็ยังไม่ฟันธง แต่อาจเป็นของพรรคขนาดกลางก็ได้ มีโอกาสเป็นไปได้ จากเดิมเคยบอกตำแหน่งนายกฯ จะเป็นของเพื่อไทย แต่ก็ยังมีพรรคที่ 2 พรรคที่ 3 จะเสนอแคนดิเดตนายกฯ อาจมีดีลลับ เช่นเดียวกับตำแหน่งประธานสภา เพื่อไทย ก็ไม่มีทางจะเสนอ วันมูหะมัดนอร์ เป็นประธานสภา แต่คงมีดีลลับจึงต้องเสนอ อาจเป็นดีลเดียวกันว่าใครจะเป็นนายกฯ”

ดีลลับ เกมการเมือง เงื่อนพิเศษพาเพื่อนลุงกลับบ้าน
ขณะนี้มีหลายตัวแปร มีโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล หากพิธาไม่ผ่านด่านในการโหวต ในช่วงรอยต่อที่ทักษิณจะกลับบ้าน แต่มาอาจจะชั่งน้ำหนักแล้วว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีเส้นทางคอนเน็กชันต่อเนื่องครอบคลุมทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งพรรคก้าวไกลทำเรื่องนี้ไม่ได้ หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยก็ทำได้ไม่ดี และที่สุดแล้วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นของพรรคขนาดกลาง หรือถ้าจะสยบกลุ่ม กปปส. ก็ต้องไม่ใช่พรรคก้าวไกล และเพื่อไทย รวมถึงกลุ่มที่เคยเคลื่อนไหวจะต้องสยบไม่ให้จุดประเด็นความขัดแย้งใหม่
“มาถึงจุดว่าใครจะเป็นนายกฯ ในห้วงรอยต่อที่ทักษิณจะกลับบ้าน ต้องเป็นผู้มีคอนเน็กชันสามารถเชื่อมต่อทุกฝ่ายได้ ไม่ใช่หัวเดียวกระเทียบลีบ เพราะหมุดหมายก็คือทักษิณจะกลับบ้าน หลังป่าวประกาศมาแล้วกว่า 19 ครั้ง และแน่นอนเพื่อไทยคงไม่ปล่อยให้การจัดตั้งรัฐบาลหลุดลอยไป แต่มีความจำเป็นจริงๆ และลึกๆ เพื่อไทย ก็ไม่อยากให้ ก้าวไกล เป็นนายกฯ เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อนลุง จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญจะพาทักษิณกลับบ้าน”
...
สถานการณ์การเมืองไทยตั้งแต่การเลือกประธานสภา มาถึงการเลือกนายกรัฐมนตรี ยังมีเวลาอีก 10 วัน แต่ทุกวันมีเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีดีลลับอย่างแน่นอนในการเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะทุกวันมีความหมาย หาก “นายใหญ่” แน่ใจว่ากลับบ้านแล้วปลอดภัย จะต้องรอดูจังหวะ และสอดคล้องกับกรณีการงดออกเสียง 77 เสียงในการเลือกรองประธานสภา คนที่ 1 นอกจากแสดงว่าพรรคเสียงข้างน้อยไม่มีเอกภาพแล้ว ยังมีนัยในการจะยกมือสนับสนุนนายกรัฐมนตรีจากพรรคขนาดกลางบางพรรค

ลุงป้อม อ้างดูม้า แต่ไปดู "แม้ว" อาจเป็นตาอยู่ นั่งนายกฯ
อีกทั้งพรรคเสียงข้างน้อยไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์ แต่ก่อตั้งมาเฉพาะกิจรองรับการเลือกตั้งเท่านั้น และแสดงให้เห็นว่าพรรคเหล่านั้นไม่เอา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ และการที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บินไปประเทศอังกฤษ แล้วอ้างว่าไปดูม้า คงไม่ใช่ แต่ไปดู “แม้ว” และเชื่อว่าหาก พล.อ.ประวิตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงจะเอาอยู่ หากเทียบกับพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ พล.อ.ประวิตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
...
พรรคก้าวไกล ถือว่าพลาดตั้งแต่ตำแหน่งประธานสภา และหลังจากนี้ 10 วัน อาจจะพลิกผัน โดยเฉพาะเรื่องการฟรีโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แค่พรรคก้าวไกลได้เสียงกึ่งหนึ่งของสภา 376 เสียงก็ยากแล้ว รวมถึงพรรคเพื่อไทยหากโหวต 3 ครั้งไม่ผ่าน ก็ต้องหยุดเสนอชื่อ ตามที่ วันมูหะมัดนอร์ ออกมาบอก และคาดว่าโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้คงไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งอย่างแน่นอน คิดว่าจะมีการเสนอ พล.อ.ประวิตร เป็นรายชื่อสุดท้ายให้เป็นนายกรัฐมนตรี

“วันเลือกประธานสภา เหมือนโดดเดี่ยวก้าวไกล อย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง เป็นโอกาสที่ก้าวไกลต้องทบทวน แม้จะมั่นใจในเอ็มโอยู แต่วันนี้สถานการณ์ไม่ได้งดงามอีกแล้ว ถ้าไม่มีดีลลับ คงไม่ออกมาอย่างนี้ หรือถ้าเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเลือกนายกฯ ทางรัฐบาลลุงตู่ ก็จะรักษาการไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นปีก็ได้”
ทำให้การเมืองไทยอาจเป็นประเทศเดียวในโลก หากเดินตามครรลองประชาธิปไตย หรือตามรัฐธรรมนูญ ก็จะเดินหน้าไปได้ แต่บังเอิญขั้วอำนาจเดิมไม่ยอมวางมือ ทำให้ไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ จนขัดเจตนารมณ์ของประชาชน สามารถออกซ้ายออกขวาตามสถานการณ์ เพราะการเมืองไทยขณะนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนคุมเกม.
...