การเมืองไทยหลังเลือกตั้ง ยังคงร้อนแรงมีความเสี่ยงจะพลิกหลายตลบ แบบค้านสายตาคนดูก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะปมเก้าอี้ประธานสภา ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล จะต้องตกลงกันให้ได้ ก่อนรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก วันที่ 3 ก.ค. 2566 เพื่อไม่ให้เกิดรอยร้าวส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาล และล่าสุดพรรคเพื่อไทย ยืนยันต้องได้ตำแหน่งประธานสภา มีการเสนอสูตร 14+1 ต้องได้ 14 เก้าอี้รัฐมนตรี และ 1 ประธานสภา ส่วน 14 เก้าอี้รัฐมนตรี และ 1 นายกรัฐมนตรี เป็นของพรรคก้าวไกล
สูตร 14+1 ข้อเสนอจากคณะเจรจาพรรคเพื่อไทย จะนำเข้าที่ประชุมระหว่างสองพรรคในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ อ้างว่าเป็นความชอบธรรม มีเหตุมีผลในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากจำนวน ส.ส. ต่างกันเพียง 10 ที่นั่งเท่านั้น แต่ความเป็นไปได้อาจยากที่พรรคก้าวไกล จะยอมรับได้ เพราะต้องการเก้าอี้ประธานสภาเช่นกัน ในฐานะพรรคอันดับ 1
จากผลคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ พรรคก้าวไกล ได้ส.ส.เขต 112 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 39 คน จากคะแนนมหาชน 14,438,851 เสียง ได้ที่นั่งส.ส. รวม 151 คน ขณะที่พรรคเพื่อไทย ได้ส.ส.เขต 112 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 29 คน จากคะแนนมหาชน 10,962,522 เสียง ได้ที่นั่งส.ส. รวม 141 คน นั่นหมายความว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ได้ส.ส.แบบแบ่งเขตเท่ากัน 112 คน ส่วนส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้มากกว่า 10 ที่นั่ง ซึ่งได้คะแนนมหาชนมากกว่าพรรคเพื่อไทย 3,476,329 เสียง
...
รอยร้าวระหว่าง 2 พรรค กำลังเพิ่มองศาเดือด จากสูตร 14+1 ของพรรคเพื่อไทย และน่าเป็นไปตามการวิเคราะห์ของ “รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่าแน่นอนสูตร 14+1 จะเพิ่มรอยร้าวระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย เพราะโครงสร้างผสม 8 พรรคร่วมของก้าวไกล ไม่มีความสมดุลอยู่แล้ว โดยพรรคก้าวไกล อันดับ 1 และพรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ส่วนพรรคอื่น ได้ส.ส.ต่ำกว่า 10 ที่นั่ง ทำให้พรรคก้าวไกล ต้องอาศัยพรรคอันดับ 2 และพรรคเพื่อไทย ก็ต้องอาศัยพรรคก้าวไกล ซึ่งกระบวนการเรียกร้องตำแหน่งประธานสภา สูตร 14+1 ของพรรคเพื่อไทย ทำให้พรรคเพื่อไทย มีแต่ได้เปรียบ ถ้าพรรคก้าวไกลสนับสนุน และพรรคเพื่อไทย จะสนับสนุนให้พิธา นั่งนายกรัฐมนตรี แต่หากพรรคก้าวไกล ไม่ผ่านการโหวตนายกรัฐมนตรี จะทำให้การแตกแยกเกิดขึ้นได้
“ในการเลือกตั้งปี 2562 พลังประชารัฐ และประชาธิปัตย์ เคยมีปัญหาเรื่องเก้าอี้ประธานสภา ท้ายสุดมีการเสนอชื่อชวน หลีกภัย แต่ทางเพื่อไทย ก็เสนอสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ และแม้วันนี้พรรคขั้วอำนาจเดิม จะเสนอชื่อประธานสภา ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ครั้งนี้เงียบมากผิดปกติ แสดงว่ามีเกมการเมืองซ่อนอยู่ เป็นไปได้จะมีการเสนอคนจาก 8 พรรคร่วมก้าวไกล หรือเสนอคนจากเพื่อไทย เพื่อให้ก้าวไกลและเพื่อไทย แตกหัก โดยเฉพาะการเสนอชื่อสุชาติ ตันเจริญ จะทำให้เพื่อไทย ต้องเลือกด้วย และการเลือกประธานสภา มีมากกว่า 1 ชื่อ ถือเป็นกล่องดำ เป็นกล่องพิศวงในการโหวตลับ ไม่ใช่การเสียบบัตรแล้วกดปุ่ม แต่เป็นการกาลงในกระดาษไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครบ้างเสียงแตก แต่อาจเห็นการข้ามขั้วแน่นอน จากการเป็นกล่องพิศวง”
เก้าอี้ประธานสภา ไม่ลงตัว ทางออกต้องฟรีโหวต
ส่วนโอกาสการเป็นนายกรัฐมนตรีของพิธา ยัง 50:50 อย่างที่เคยบอกมาตั้งแต่ต้น โดย 50 แรก เป็นความชอบธรรมในการถือเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง การเซ็นเอ็มโอยูจากพรรคร่วมรัฐบาล และจากคณะเจรจา แต่อีก 50 จะต้องฝ่าอีกหลายด่าน ทั้งจากกกต. แม้มีการรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้ว 500 ที่นั่ง แต่ก็ยังสอยได้อีก ขณะเดียวกันกกต.สามารถดำเนินการกับพิธา เรื่องหุ้นสื่อ มาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ หรือส.ส. ไม่น้อยกว่าหนึ่งใน 10 เข้าชื่อร้อง หรือ ส.ว.ยื่นคำร้องว่าพิธา มีลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 98 หรือมาตรา 49 ล้มล้างการปกครองฯ จากนโยบายหาเสียงยกเลิกมาตรา 112
“ตำแหน่งประธานสภายังไม่ลงตัว ทำให้การหารือระหว่าง 2 พรรคในวันที่ 28 มิ.ย.ต้องเลื่อนออกไป และอาจเลื่อนการประชุม 8 พรรคด้วย แต่ต้องจบภายในวันที่ 3 ก.ค. หรือสุดสัปดาห์นี้ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อย คิดว่าอย่างไรแล้วก็ไม่ลงตัว และทางออกเดียว คือฟรีโหวต เป็นไปได้สูง ไม่ใช่เฉพาะก้าวไกลและเพื่อไทย เสนอชื่อผู้เป็นประธานสภา อาจมีการเสนอชื่อจากทุกพรรค และจากพรรคขั้วอำนาจเดิม เพราะไม่ได้กำหนดรายชื่อขั้นต่ำที่จะเสนอประธานสภา ท้ายสุดก็ฟรีโหวตเลือกประธานสภา จนเกิดปัญหาใน 8 พรรคร่วมก้าวไกล และจะนำไปสู่ปัญหาทำให้ก้าวไกล ไม่ได้เป็นแกนนำหลักจัดตั้งรัฐบาล”
กรณีเก้าอี้ประธานสภา เป็นหมุดหมายแรกในการเลือกนายกรัฐมนตรี แม้ผู้ทำหน้าที่ประธานสภา ไม่สามารถชี้ได้ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องทำตามมติพรรคในการอำนวยความสะดวกและไม่อำนวยความสะดวกในการเลือกนายกรัฐมนตรี อีกอย่างเป็นเรื่องระยะเวลาในการเสนอกฎหมายตามที่หาเสียงไว้กับประชาชน ก็ต้องอาศัยประธานสภา อย่างในอดีตพรรคก้าวไกล เคยเสนอแก้มาตรา 112 ก็ไม่ได้รับการบรรจุในวาระ
...
ระวังเกมพรรคขั้วอำนาจเดิม เพื่อไทยเตรียมหักก้าวไกล
การเปิดประชุมเพื่อเลือกประธานสภา จะเห็นตัวเลขการโหวตในสภาพข้ามขั้วอย่างผิดหูผิดตา และเปรียบสูตร 14+1 ของพรรคเพื่อไทย เป็นสูตรพิศวงพลิกแพลงไปมาโดยตลอด เริ่มจากการเลือกประธานสภา ไปสู่การเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะขณะนี้พรรคขั้วอำนาจเดิม เงียบผิดปกติจนดูแปลก น่าจะมีแผนบางอย่างจากเกมเลือกประธานสภา ส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลอาจใช้เวลายืดเยื้อ จากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหลายรอบ และอาจเห็นพรรคขั้วอำนาจเดิม เสนอพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรืออนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีประกบกับพิธา
...
อีกทั้งพิธา จะฝ่าด่านส.ว.ได้หรือไม่ เพราะทุกอย่างในการเมืองไทยเป็นไปได้หมด หรือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อาจม้วนเดียวจบ ทำให้พิธา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะส.ว.อาจอ้างว่า ”เลือกใครแล้วสบายใจมากกว่า” และพิธา ยังมีลักษณะต้องห้าม ส่วนพรรคเพื่อไทย จะต้องทำอย่างไรให้ตัวเองบาดเจ็บน้อยที่สุด เพราะไม่มีทางที่จะไม่บาดเจ็บเห็นได้จากปมประธานสภา แต่ไม่ถึงกลับสูญพันธ์ุ หากไม่ข้ามขั้วไปเลือกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
“เรื่องที่บอกกันว่าเพื่อไทยจะสูญพันธุ์ เพราะไม่สนับสนุนก้าวไกล ก็เป็นมุมมองของคนเชียร์ก้าวไกล แต่ยังมีคนเชียร์เพื่อไทย ให้ได้แลนด์สไลด์ ไม่ใช่ไปช่วยก้าวไกล เป็นมุมมองมายาคติ และอย่าเทียบกับประชาธิปัตย์ เป็นโรคคนละโรค มีปัญหาคนละแบบ และแม้ก้าวไกลและเพื่อไทย มีเจตนารมณ์ร่วมในทิศทางเดียวกันในเรื่องประชาธิปไตย แต่ต้องติดตามท่าทีของเพื่อไทย เตรียมเปิดเกมหักพรรคก้าวไกลในไม่ช้า.