เลือกตั้ง 1 เดือนผ่านไป ยังไม่มีทีท่าว่า กกต. จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเป็นทางการ จนมวลชนส่วนหนึ่งออกมาเรียกร้อง กระทั่งเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ได้มีเอกสารของ กกต. หลุดออกมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย จำนวน 3 หน้ากระดาษ อ้างว่าเป็นเอกสารประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง ครั้งที่ 1 มีการรับรองว่าที่ ส.ส. 329 คน และอีก 71 คน จาก 8 พรรคการเมืองใน 37 จังหวัด ยังไม่รับรอง หลังถูกร้องคัดค้านผลเลือกตั้ง

พรรคภูมิใจไทย ถูกร้องคัดค้านผลเลือกตั้งมากที่สุด 21 คน รองลงมาพรรคเพื่อไทย 20 คน พรรคพลังประชารัฐ 14 คน พรรคก้าวไกล 7 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 3 คน พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน พรรคไทยสร้างไทย 2 คน และพรรคเพื่อไทรวมพลัง 1 คน โดย 30 คน เป็นว่าที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และ 41 คน เป็นว่าที่ ส.ส. พรรคขั้วรัฐบาลเดิม

แต่ภายหลังเอกสารหลุดออกมา ทำให้แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นเอกสารของฝ่ายปฏิบัติการ เตรียมจะเสนอต่อที่ประชุม กกต.พิจารณารับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ คาดว่าจะประกาศผลการเลือกตั้ง 95% ไม่เกินวันที่ 27 มิ.ย. เพื่อให้สามารถเปิดประชุมสภาฯ เลือกประธานสภา ก่อนเข้าสู่กระบวนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

...

เหตุใดเอกสารสำคัญของ กกต.หลุดรอดออกมาได้อย่างง่ายดาย ในช่วงลุ้นระทึกกับสถานการณ์การเมืองไทย พร้อมจะพลิกได้ตลอดเวลา และจะได้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล หรือไม่?

เอกสาร กกต.หลุด ไม่รับรอง ส.ส. ตั้งใจ หรือบกพร่อง

เพื่อหาคำตอบในสิ่งที่ชวนสงสัย “รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า เอกสารที่หลุดออกมาน่าจะมาจากคนของ กกต. เพื่อต้องการเช็กกระแสว่า ถ้าไม่มีการรับรอง ส.ส. 71 คน จะมีแรงต้านหรือไม่ เป็นประเด็นสำคัญ และแน่นอนเมื่อเป็นเอกสารจริง อยู่ในขั้นตอนพิจารณา ก่อนสรุป ยิ่งทำให้สังคมตีความหลากหลายว่าเป็นเพราะความประมาทบกพร่องของคนกกต. หรือ กกต.จะเช็กกระแสว่าเป็นอย่างไร

“เพราะว่าที่ ส.ส. 71 คน ยังไม่รับรอง ในฟากของรัฐบาลก้าวไกล มี 30 คน ส่วนของพรรครัฐบาลเดิมมี 41 คน แสดงว่าได้รับผลกระทบมากกว่า แต่ 313 เสียงของรัฐบาลฝั่งก้าวไกล ถ้าหายไป 30 ก็เหลือ 283 ยังมีเสถียรภาพเกินกึ่งหนึ่งในสภาฯ ส่วนรัฐบาลเดิม ถ้าหายไปก็เหลือ 140 กว่าเสียงเท่านั้น แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าเสียงของรัฐบาลก้าวไกล หากหายไป จะต้องได้เสียงจาก ส.ว.เกือบ 100 ซึ่งยากมาก จะส่งผลต่อการโหวตเลือกนายกฯ อย่างแน่นอน และอาจเป็นเกมการเมืองที่มีโอกาสเป็นไปได้”

ในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ทางกกต.ต้องดำเนินการรับรองผลให้ครบ 95% หรือจะรับรอง 100% ไปก่อนก็ได้ เพราะยังมีเวลาอีก 1 ปีในการสอยตามหลัง แต่ถ้าไม่รับรองภายใน 60 วัน ก็จะมีความผิด ส่วนกระแสข่าวที่มาของเอกสารหลุดมาจากพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่น่าเป็นความจริง เพราะหากถูกสอยไป 20 คน จะทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร คิดว่า กกต.ตั้งใจทำให้เอกสารหลุดออกมามากกว่า

นอกจากนี้ หลายฝ่ายมีการจับตากรณี ไอซ์-รักชนก ศรีนอก ว่าที่ ส.ส. กทม.เขต 28 ของพรรคก้าวไกล ไม่ได้รับการรับรอง เพราะเป็นนักกิจกรรมเป็นที่รู้จัก และมีวิธีหาเสียง จนสามารถล้ม วัน อยู่บำรุง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย เป็นที่ฮือฮามาแล้ว และวัน ก็ได้ออกมาโพสต์ ไม่ได้มีการไปร้องคัดค้านแต่อย่างใด ซึ่งการที่ กกต.จะไม่รับรองว่าที่ ส.ส. มีเรื่องเดียว ในการทำให้การเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนกรณี พิธา หากขาดคุณสมบัติมีลักษณะต้องห้ามในการเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นเรื่องของการทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งกกต.จะแขวน หรือไม่รับรองไม่ได้

ทุจริตเลือกตั้ง แจกใบแดง ใบเหลือง แตกต่างกันอย่างไร

...

การไม่รับรองผลการเลือกตั้ง เนื่องจากทุจริตเลือกตั้ง มี 3 ลักษณะในการแจกใบแดง ใบเหลือง ใบส้ม ในกรณีกกต.ให้ใบแดง ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน จนทำให้ผู้สมัครเลือกตั้งได้รับชัยชนะ จะต้องถูกตัดสิทธิ และต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เช่น ทำผิดกฎหมาย มีการซื้อเสียง ส่วนการให้ใบเหลือง มีเหตุควรเชื่อได้ว่าทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ซึ่งไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน ถ้ามีเลือกตั้งใหม่ ก็สามารถลงสมัครเลือกตั้งได้

กรณีการให้ใบส้ม ซึ่งที่ผ่านมากกต.เคยให้ครั้งแรกกับสุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัคร ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 ส่งผลให้ระงับสิทธิ์เลือกตั้ง 1 ปี และจัดการเลือกตั้งใหม่ ต่อมาได้มีการยื่นฟ้อง กกต. จนศาลมีคำพิพากษาสั่งให้ กกต.ชดใช้ค่าเสียหาย ทำให้คิดว่าเลือกตั้งครั้งนี้ทาง กกต.ต้องระมัดระวัง คงไม่มีการแจกใบส้ม หรือมีน้อยมาก

“การร้องเรียนคัดค้านผลเลือกตั้ง เป็นเรื่องของกฎหมายเลือกตั้ง และหากว่าที่ ส.ส. ต้องโทษคดีอาญา ต้องใช้เวลาในการต่อสู้คดี แต่ถ้าได้รับการรับรองเป็น ส.ส. และคดีถึงที่สุดแล้ว มีโทษจำคุก ก็จะหมดสมาชิกภาพ ส.ส. ถูกตัดสิทธิ ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง และหาก กกต.ไม่รับรองว่าที่ ส.ส. 71 คน จะต้องไม่มากไปกว่านี้อีก เพราะจะกระทบ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ มีโอกาสน้อยมากจะทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่ส่วนใหญ่จะมีประเด็นมีลักษณะต้องห้ามของ ส.ส.ตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ”

...

สถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้และพลิกได้หมด ในการจะได้เห็นพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะขณะนี้มีการใช้กฎหมายให้เป็นการเมือง เป็นเรื่องของกระบวนการใช้กฎหมาย เพื่อเอาผิดในจุดเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการใช้อภินิหารของกฎหมายทำลายเจตจำนงของประชาชน ทำให้เกิดความได้เปรียบ.