“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และพรรคก้าวไกล กำลังเผชิญกับวังวนนิติสงคราม ถูกการเมืองอาศัยเงื่อนปมกฎหมาย ห้ำหั่นไม่จบไม่สิ้น อาจทำให้การเลือกตั้งและเสียงประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความหมาย นำมาสู่วิกฤตการณ์ทางการเมือง ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ เพิ่มความเสี่ยงวิกฤติหนี้สาธารณะจากระดับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่สูงอยู่แล้วที่ระดับ 61.3%

หากปล่อยให้เกิดวิกฤติการเมือง จากการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและก่อให้เกิดนิติสงคราม จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร? “รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ” กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คาดว่า หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอาจพุ่งทะลุเพดานใหม่ 70% ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากนิติสงครามก่อภาระทางการคลัง สร้างต้นทุนให้กับประชาชน ทำให้กลไกของระบบราชการและองค์กรอิสระสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการนำทรัพยากรและเวลามาใช้แก้ปัญหานิติสงครามที่เครือข่ายปรปักษ์ประชาธิปไตยก่อขึ้น เพียงหวังจะสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยจากเสียงข้างมากของประชาชน

อีกทั้งกรอบวงเงินงบประมาณ ปี 2567 กำหนดวงเงินไว้ที่ 3.35 ล้านล้านบาท ต้องกู้เงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยการก่อหนี้สาธารณะอีก 5.93 แสนล้านบาท หากไม่ก่อนิติสงคราม จนกระทั่งเกิดภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมือง เงินกู้ที่นำมาชดเชยการขาดดุลนี้ สามารถไปใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มงบสวัสดิการให้ประชาชน เพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอ แก้วิกฤติการไหลออกจากระบบราชการ รวมทั้งแก้ปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อมทรุดโทรมอย่างหนักในขณะนี้

...

นิติสงครามยืดเยื้อ ระวังหนี้สาธารณะพุ่งทะลุเพดาน

การใช้นิติสงคราม มีการตัดสินชี้ถูกผิดไม่ว่าจะเป็น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ป.ป.ช. ที่ไม่เป็นอิสระและไม่เป็นกลาง ทำให้การเลือกตั้งและเสียงประชาชนไม่มีความหมายใดๆ เนื่องจากองค์กรภายใต้รัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. มีอำนาจเหนือประชาชน และการปิดกั้นไม่ให้การทวงคืนประชาธิปไตยอย่างสันติผ่านผลการเลือกตั้ง จะนำมาสู่วิกฤตการณ์ทางการเมือง ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ เพิ่มความเสี่ยงวิกฤติหนี้สาธารณะจากระดับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่สูงอยู่แล้วที่ระดับ 61.3%

หากปล่อยให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองจากการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และก่อให้เกิดนิติสงคราม คาดว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอาจพุ่งทะลุเพดานใหม่ 70% ในอนาคตอันใกล้ นำไปสู่ปัญหาวิกฤติฐานะทางการคลัง หากการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองภายใต้หลักการประชาธิปไตยเรียบร้อยดี เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่อง เฉพาะ 5 เดือนแรก นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 10.6 ล้านคน เป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยว 2.38 ล้านล้านบาทในปีนี้มีความเป็นไปได้

การสร้างภาวะไร้เสถียรภาพ นำคดีความต่างๆ ที่เกิดจากนิติสงคราม มาขยายผลบวกกับการบิดเบือนข้อเท็จจริง ปลุกปั่นมวลชนจัดตั้ง ให้เกิดภาวะความตึงเครียดขัดแย้ง นำไปสู่วิกฤตการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมือง ได้สร้างอุปสรรคต่อภาคการลงทุนและการทำงานภาครัฐ จนสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เปิดช่องแทรกแซงโดยอำนาจนอกวิถีประชาธิปไตย สร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดภาวะที่กลไกรัฐบาลตามครรลองประชาธิปไตยตามปกติไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

“ใครวางแผนให้มวลชนปะทะมวลชนล้มเลิกความคิดนี้เสีย มวลชนปกป้องประชาธิปไตย หรือมวลชนปกป้องสถาบันหลัก ล้วนเป็นคนไทย เป็นพี่เป็นน้องกัน ต่างมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเอาไว้ ไม่มีใครคิดล้มล้างสถาบันหลัก และการนำสถาบันหลักมากล่าวอ้างเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง ทำลายล้างเพื่อนร่วมชาติที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม

เท่ากับเป็นการทำลายสถาบันหลักของชาติ ขอให้ทุกฝ่ายพูดคุยกันด้วยเหตุผลและสมัครสมานสามัคคี หากเกิดภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองขึ้น จะทำให้ประชาชนสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของเอเชีย และจะยังถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตก หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนอกวิถีทางประชาธิปไตย ด้วยการรัฐประหารกันอีก”

...

หยุดทฤษฎีสมคบคิด ปลุกปั่นบิดเบือนแบ่งแยกดินแดน 

ขณะที่มีความพยายามในการกล่าวหา สร้างคดีอย่างไม่เป็นธรรมให้มีการฟ้องร้องพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง ชาวต่างชาตินักลงทุนต่างประเทศเกิดข้อสงสัยต่อระบบการปกครองของประเทศไทย เพราะการมีระบบสถาบันทางการเมืองและระบบราชการที่เชื่อถือได้ มีระบบยุติธรรมและระบบกฎหมายที่เป็นธรรรม มีระบบนิติธรรมที่เข้มแข็ง การบังคับใช้กฎหมายมีความสม่ำเสมอและคงเส้นคงวา มีความแน่นอน เป็นพื้นฐานสำคัญต่อภาคการลงทุนและระบบเศรษฐกิจไม่น้อยไปกว่าโครงสร้างพื้นฐานทางด้านกายภาพของเศรษฐกิจ อาจเป็นปัจจัยสำคัญมากกว่าในการตัดสินใจว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ระยะยาวของบรรษัทข้ามชาติจะเข้ามาลงทุนในไทยหรือไม่

นอกจากนี้การที่เครือข่ายปรปักษ์ประชาธิปไตยในไทย ใช้กลไกของระบอบเผด็จการทหารเมียนมา ให้สัมภาษณ์โจมตีพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยและปฏิบัติการด้านข่าวสารแบบบิดเบือน ว่าจะสร้างความขัดแย้งกับรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา สร้างความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยรับแผนการมาจากสหรัฐฯ หรือซีไอเอ จะสร้างความเสียหายต่อประเทศ และเป็นการชักศึกเข้าบ้าน เพียงหวังโค่นล้มรัฐบาลใหม่ฝ่ายประชาธิปไตย

รวมถึงการปลุกปั่นบิดเบือน ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นความพยายามแบ่งแยกดินแดน หากทำโดยอดีตนายทหารที่อยู่ในคณะรัฐประหาร หรือนายทหารในกองทัพ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ ต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวนข้อเท็จจริง เพราะเป็นการจุดเชื้อไฟความขัดแย้งรุนแรงทั้งภายในประเทศ กรณีสามจังหวัดชายแดนใต้ และระหว่างประเทศ กรณีไทย-เมียนมา

การดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบนิ่งเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปราบปรามขบวนการประชาธิปไตยอย่างไร้มนุษยธรรมในเมียนมาของรัฐบาลไทยที่ผ่านมา ต้องมีการทบทวนครั้งใหญ่ คัดค้านการขยายผลสงครามกลางเมืองในเมียนมาให้บานปลาย เพื่อหวังผลต่อการเมืองในประเทศไทยของเครือข่ายอนุรักษนิยมขวาจัดสุดโต่ง และเครือข่ายประชาธิปไตยต้องร่วมกันหยุดทฤษฎีสมคบคิด ขยายความขัดแย้งตามแนวชายแดน อ้างความไม่สงบ สนับสนุนรัฐบาลสืบทอดอำนาจเสียงข้างน้อยในไทยให้อยู่ในอำนาจต่อไป.

...