“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จะไปถึงฝั่งฝันนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ได้หรือไม่ หลังเจอหลายอุปสรรคต้องเผชิญ กลายเป็นวิบากกรรมตามหลอกหลอน โดยเฉพาะหุ้นสื่อไอทีวีเจ้าปัญหา แม้ว่าล่าสุด กกต. มีมติเอกฉันท์ 6 เสียง ยกคำร้องกรณีถือครองหุ้นสื่อไอทีวี 42,000 หุ้น เนื่องจากคำร้องยื่นเกินระยะเวลาตามกฎหมายกำหนด
ไม่ได้หมายความว่าพิธา จะรอด หากได้รับการรับรองเป็น ส.ส. สามารถยื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบได้อีก แต่ที่จะโดนหนักในคดีอาญา มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และถูกตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี เพราะ กกต. ได้รับเรื่องพิจารณาในประเด็นรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม แต่ยังฝืนมาสมัครเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566
นิติสงคราม ถาโถมขัดแข้งขัดขา เล่นงานพิธา
ดูเหมือนความหวังจะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของพิธา จะยิ่งริบหรี่ลงไปอีก และส่อเค้าจะรอดยากหรือไม่ “รศ.ดร.ธนภัทร ปัจฉิมม์” คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มองว่า มาตรา 151 ต้องใช้กระบวนการทางศาลในการพิสูจน์หลายขั้นตอนว่าขาดคุณสมบัติจริงหรือไม่ ซึ่งใช้ระยะเวลาพอสมควร ทำให้ไม่จบง่ายๆ และยังมีว่าที่ ส.ส.อีกหลายคน อาจเข้าข่ายรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ แต่ยังฝืนมาสมัครเลือกตั้ง
...
“เรื่องมาตรา 151 น่าจะเป็นคำขู่ในทางกฎหมายมากกว่า แต่ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ จะเข้าวังวนนิติสงคราม เหมือนเอากฎหมายไปเล่นกับการเมือง ก็ไม่แฟร์เท่าไร ถ้าจะทำก็ต้องทำหลายคน และต้องทำให้คนสิ้นสงสัย มีการออกมาอธิบายว่าหุ้นสื่อไอทีวี มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติจริงหรือไม่ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ท้ายสุดมองว่าเป็นการขัดแข้งขัดขาไม่ให้พิธา ไปสู่เก้าอี้นายกฯ เป็นเรื่องของการเมือง”
แต่ในแง่กฎหมายก็พัฒนาไปอีกลักษณะ กำลังปะปนกันระหว่างการเมืองกับกฎหมาย จนคนในสังคมเกิดความสับสน และทางออกที่ดีที่สุดจะต้องชี้ให้เห็นว่าพิธา มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้กลายเป็นวาทกรรมนิติสงคราม ทำให้คนไม่มั่นใจต่อกระบวนการยุติธรรม เป็นสิ่งที่น่ากังวลมาก
เพราะเหมือนการจงใจจะเล่นงานผู้ได้รับการเลือกตั้ง จากประชามติของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ จะทำให้เกิดปัญหาบานปลายไปกันใหญ่ และขณะนี้คนในสังคมเริ่มตั้งกลุ่มไปกดดัน กกต. และต่อไปก็จะกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ก็กลับไปวังวนอีหรอบเดิม ซึ่งหน่วยงานต้องออกมาอธิบายว่าเรื่องของพิธา เกิดจากอะไร
พิธา สุ่มเสี่ยงรอดยาก ไม่ได้เป็นนายกฯ คนที่ 30
ท้ายสุดศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องวินิจฉัยอีกครั้ง ว่าจะรอดหรือไม่รอด หรืออาจรอด เพราะไม่มีเจตนา หรืออาจไม่รอดก็ได้ ซึ่งปัจจุบันเป็นแค่การคาดการณ์มากกว่า และคนที่จะออกมาอธิบายเรื่องนี้ ต้องดูบทเรียนจากศาลรัฐธรรมนูญ อย่ารอให้เรื่องเกิดขึ้นก่อนแล้วมาอธิบาย จนเกิดความสับสน และนักวิชาการ ก็เป็นส่วนหนึ่งต้องอธิบาย แต่ต้องไม่เอนเอียง ว่ากรณีนี้เคยเกิดขึ้นกับใคร
หรือกรณี ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ รอดจากการถือหุ้นเอไอเอส จากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนกรณีพิธา มีลักษณะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ซึ่งเป็นทายาทกองมรดก อาจสู้คดีได้ เพราะไม่มีเจตนา และกรณีไอทีวี ยังอยู่ระหว่างการฟ้องร้องสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กับศาลปกครอง และน่าจะมีคำพิพากษาในเดือน มิ.ย.นี้
“ต้องอธิบายเทียบเคียงกับคดีที่เคยเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ในทางการเมืองเอากฎหมายมาปะปนกัน อาจจบเรื่องนี้ แล้วอาจเจอเรื่องใหม่ก็ได้กับพิธา ทำให้คิดว่าโอกาสรอดน่าจะยาก และเท่าที่คุยกับผู้รู้ ชี้ว่าการเป็นทายาท เมื่อรับมรดกแล้ว ก็คือเจ้าของ ถือว่าเป็นความผิดโดยสมบูรณ์ และอาจมีกำไรจากสิ่งที่ได้มาหรือไม่ ส่วนมูลค่าหุ้นก็เกินสัดส่วนต่างกับของคุณชาญชัย และการโอนหุ้นภายหลังก็ผิด ไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งแสดงว่าตัวเองผิดจริง”
...
ที่ผ่านมาทั้งศาลฎีกา ศาลปกครอง และนักรัฐศาสตร์ ไม่ได้มองกฎหมายเป็นหลัก แต่มองในหลักรัฐศาสตร์ อย่าเอาเสียงข้างมาก มากดดันศาลให้เห็นตาม แม้ก้าวไกลได้เสียงข้างมาก แต่ยังมีเสียงข้างน้อยก็ไม่ยอมรับ ต้องคำนึงเสียงข้างน้อยด้วย และสิ่งที่เกิดขึ้นกับพิธา ต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ทำให้เกิดปัญหาไม่จบสิ้น ท่ามกลางความหวาดระแวงของชนชั้นกลาง ไม่ว่าเรื่องการตั้งฐานทัพของสหรัฐฯ หรือเรื่องสถาบัน จะยิ่งถาโถมไปตลอด อาจยากมากในการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
“อยากฝากวิธีแก้ไขไปยังก้าวไกล จะต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน อย่าคลุมเครือ จนเป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งรัฐบาล หรือเอานโยบายที่หาเสียงมาปรับปรุงใหม่ คิดว่าน่าจะทำได้ และด้อมส้มน่าจะเข้าใจ แต่อย่าทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อน อย่ายืนกรานจะทำต่อก็จะไม่เป็นผลดี อีกทั้งการเปิดโปงเรื่องส่วยรถบรรทุก และเรื่องเลื่อนยศตำรวจ ได้ก่อให้เกิดกระแสสังคม ก็โอเค แต่อย่าหักตรงๆ ไปเลย”
หวั่นก้าวไกล พลิกกลับ ไปเป็นแกนนำฝ่ายค้าน
เมื่อมาวิเคราะห์กรณี กกต.จะรับรองการเป็น ส.ส.ของพิธา น่าจะมีนัยบางอย่าง ก่อนพิจารณาการขาดคุณสมบัติ อาจโยงกับการรับรองสถานะของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จนนำไปสู่การยกเลิกเพิกถอนเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่แค่ พิธา คนเดียวที่ขาดคุณสมบัติในการเลือกตั้ง อาจมีการเลือกตั้งใหม่บางเขต เพราะเมื่อ กกต.รับเรื่อง ก็มีคำวินิจฉัย ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และคิดว่าใช้ระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน
...
รวมถึงกรณี กกต.ประกาศนับคะแนนใหม่ 47 หน่วยเลือกตั้งใน 16 จังหวัด ถือว่าไม่น้อย และคะแนนระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยในแต่ละหน่วย ห่างกันไม่มาก อะไรก็เกิดขึ้นได้ อาจทำให้พรรคก้าวไกลต้องทบทวนใหม่ หากพรรคเพื่อไทยกลับมาได้คะแนนเป็นอันดับ 1 หรือได้มากกว่า 5 เสียง ก็จะกลายเป็นความชอบธรรม และตัวแปรสำคัญพรรคได้ที่ 1 อาจไม่จับกับพรรคอันดับ 2 ก็ได้ อาจไปจับกับพรรคอื่นในขั้วรัฐบาลเดิมอย่างพรรคภูมิใจไทย จนพรรคก้าวไกลต้องคิดใหม่กลายเป็นแกนนำฝ่ายค้านในที่สุด.