ปมถือหุ้นสื่อไอทีวี จำนวน 42,000 หุ้น ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะสกัดการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้หรือไม่? ภายหลังเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ผู้ยื่นคำร้องเข้าให้ข้อมูลกับ กกต. และนำพยานหลักฐานมายื่นเพิ่มเติมให้ตรวจสอบ อาจเข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ทำให้สังคมยิ่งจับตามอง เกรงว่าจะเป็นเหตุช็อกซ้ำรอยปี 2562 คดีถือหุ้นสื่อวี-ลัค มีเดีย ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จนต้องพ้นสภาพส.ส.

แน่นอนทางพรรคก้าวไกล ประเมินมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าปมหุ้นสื่อไอทีวี น่าจะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมือง ทำให้มีการเตรียมพร้อมรับมือ และมั่นใจหากกระบวนการพิจารณาตัดสินเป็นไปตามกฎหมายและบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ผ่านมา เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา

แต่ที่ผ่านมามีการวิเคราะห์ในหลายแง่มุมเกี่ยวกับชะตากรรมของพิธา มีทั้งรอดและไม่รอด ในประเด็นบมจ. ไอทีวี ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อมวลชน มาตั้งแต่ปี 2550 ถือว่าไม่ได้เป็นสื่อ มีที่มารายได้จากดอกเบี้ยและเงินลงทุนเท่านั้น และในอีกมุมมองว่า อาจกลับมาทำประโยชน์อีกก็ได้ เพราะมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการที่เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชน

...

ข้อถกเถียงในประเด็นถือหุ้นสื่อของพิธา จะรอดหรือไม่ ทั้งก่อนและหลังกกต.รับรองผลการเลือกตั้ง ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ เช่นเดียวกับความเห็นของ “ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่าเรื่องนี้การจะออกหัวหรือก้อยนั้นพูดยากมาก เพราะมีบรรทัดฐานอยู่ 2 แนว จากคำวินิจฉัยของศาลคนละศาล ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกรณีธนาธร ที่ไม่รอดเป็นการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนของพิธา มีการไปร้องเรื่องคุณสมบัติ ส.ส. หากกกต.วินิจฉัยแล้วจะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้พิจารณา

“กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ต้องเป็นส.ส.แล้ว แต่พิธา ยังเป็นว่าที่ส.ส. อยู่ระหว่างการรับรองผลการเลือกตั้งของ กกต. ถ้าเอาคำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ มาเป็นบรรทัดฐาน ก็จะรอด แต่ถ้า กกต.รับรองเป็นส.ส. แล้ว และศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ซึ่งตรงนี้มองยาก หากเทียบเคียงกับธนาธร เพราะต้องไปดูข้อเท็จจริงต่างๆ และคำนิยามว่าถือเป็นหุ้นสื่อหรือไม่ กรณีเป็นผู้จัดการมรดก หรือกรณีเรืองไกร มองว่าไม่ใช่ผู้จัดการกองมรดก ก็ต้องมาพิจารณา สู้กันด้วยข้อเท็จจริง ดูเจตนารมณ์ของกฎหมาย และการตีความ มีโอกาสเปิดกิจการได้อีกหรือไม่ ถ้าเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีโอกาสรอดน้อยกว่า เพราะวินิจฉัยด้วยเสียงข้างมาก”

หากมองประเด็นการถือหุ้นสื่อของพิธา เป็นเกมของบางฝ่ายก็ยิ่งทำให้โอกาสรอดยากไปใหญ่ กลายเป็นว่าข้อกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นแค่องค์ประกอบเท่านั้น ต้องดูว่าเกมนี้เล่นโดยใคร ต้องการอย่างไร หรืออาจให้พิธาไปต่อ หรือต้องการจะสกัดไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นการเมืองที่เล่นคล้ายๆ เกม เป็นเกมอำนาจ มีตัวชี้วัด และชั่งน้ำหนักการได้เสีย ซึ่งคิดว่าเป็นเกมการเมืองที่เล่นไม่ง่าย จะต้องระมัดระวังให้ดี โดยเฉพาะเสียงประชาชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล หรือกลุ่ม "ด้อมส้ม" ออนไลน์

“ถ้าจะเล่นพิธาจริงๆ ต้องทำให้ความชอบธรรมลดลงไป ทำให้ความรู้สึกและความหวังว่าพิธาจะเป็นนายกฯ ค่อยๆ ซาลง ต้องทำอย่างไรให้ด้อมส้มไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เมื่อถึงตอนนั้นค่อยลงดาบพิธาได้ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน น่าจะเล่นเกมยาว ทำให้กติกายาวไปอีก จากการรับรองผลเลือกตั้งของ กกต.ภายใน 60 วัน ดูแล้วไม่น้อยกว่า 1 เดือนอยู่แล้ว ต้องมาดูจะเกิดอะไรขึ้น เพราะกระบวนการยังอีกยาว”

สถานการณ์ทางการเมืองหลังเลือกตั้ง มีความเป็นไปได้ในหลายๆ เรื่อง ทำให้พรรคก้าวไกล ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล และไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยต้องทำให้พรรคเพื่อไทย มีความชอบธรรม ได้จัดตั้งรัฐบาล โดยไม่ต้องมีดีลลับใดๆ และระหว่างกกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้ง หากมีการแจกใบเหลืองในพื้นที่ฝั่งรัฐบาลชุดเดิม ก็จะมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกันใหม่

...

หากปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยชนะขึ้นมา อาจได้คะแนน ส.ส. เป็นอันดับ 1 แซงหน้าพรรคก้าวไกล ทำให้ได้ความชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ หรือจากแผนคนปล่อยเรื่องดีลลับ ก็คือคนเปิดดีลเอง และวางทุ่นระเบิดไว้เอง ทำให้เกมการเมืองยังอีกยาว ต้องอาศัยจังหวะและโอกาสต่อจากนี้ไป.