หลังการเลือกตั้งต่างชาติต่างจับตามองทิศทางการเมืองไทย ภายหลังพรรคก้าวไกลกวาดคะแนนได้ที่นั่ง ส.ส. เป็นอันดับ 1 ทิ้งห่างพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมและกองทัพ จนประสบความพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ยกเว้นพรรคภูมิใจไทยได้เป็นอันดับ 3 แต่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทยว่าไม่ต้องการระบอบอำนาจเก่าอีกต่อไป
ก้าวต่อไปของการเมืองไทยจะหวนคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยอาจไม่ราบรื่น กับความพยายามจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ยังมีอุปสรรคขวากหนามจากหลายตัวแปรทั้งเสียงของ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ความเสี่ยงอาจจะถูกยุบพรรค หรือพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกตัดสิทธิทางการเมือง และโดยเฉพาะมาตรา 112 ทำให้เกิดความไม่แน่ไม่นอนสูง และจนกว่าจะรู้แน่ว่าใครได้เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ จะบ่งบอกถึงเสถียรภาพการเมืองต่อจากนี้
ชัยชนะฝ่ายประชาธิปไตย สิ่งท้าทายตั้งรัฐบาล
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเมืองไทยจะเป็นไปในทิศทางใด จากการติดตามของสื่อต่างชาติ “ศ.กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู” ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระบุว่า เท่าที่ติดตามข่าวต่างประเทศมีการพูดถึงชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ท้าทายว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะสามารถตั้งรัฐบาลได้ราบรื่นหรือไม่อย่างไร และถือเป็นสิ่งไม่คาดคิดว่าพรรคก้าวไกลจะชนะเป็นอันดับ 1 แม้ได้ที่นั่ง ส.ส. ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส. ทั้งหมดก็ตาม แต่เป็นชัยชนะได้สร้างความตระหนกต่อฝ่ายอนุรักษนิยม
...
“เป็นการบอกคร่าวๆ ว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับอนุรักษนิยม โดยคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตจากเดิมคาดว่าเพื่อไทยจะได้ที่ 1 แต่กลับเป็นก้าวไกล แต่ก็ถือว่าทั้ง 2 พรรคมีแนวทางประชาธิปไตยต่อต้านการเมืองแบบยึดอำนาจ เป็นหลักใหญ่ๆ ที่สื่อต่างชาติให้ความสนใจ และสะท้อนความคิดแบบนี้ออกมา ขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยม ได้คะแนนน้อยกว่า สะท้อนความไม่พอใจนักการเมืองที่ย่ำอยู่กับที่มา 10 กว่าปี จากความรู้สึกของผู้ออกเสียง”
ประกอบกับในยุคสมัยใหม่ มีการสื่อสารได้เร็วและกว้างขวางทั้งทางโซเชียลและคนที่ให้ข้อมูล เพราะฉะนั้นการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะครอบงำความคิดก็ทำได้ยาก และแต่ละฝ่ายจะรับข้อมูลในสิ่งที่อยากจะฟัง สามารถเลือกรับฟังได้ ทั้งๆ ที่ควรใจกว้างรับฟังข้อมูลจากหลายๆ ฝ่ายในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะทุกอย่างเป็นสมมติฐานต้องดูว่าสอดคล้องกับความคิดหรือไม่ และเมื่อได้ข้อมูลใหม่ก็ควรเปลี่ยนค่านิยมความเชื่อ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับเพราะใช้ความรู้สึกตัดสินใจมากกว่า ถือเป็นสิทธิของแต่ละคน
หรือพูดง่ายๆ ต่อให้พรรคการเมืองมีนโยบายดีอย่างไร หากคนเป็นหัวหน้าพรรคไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่สามารถนำเสนอนโยบายให้น่าสนใจ ก็จะไม่ได้รับความนิยม ยกตัวอย่างพรรคการเมืองที่คนกำลังฮือฮา มีผู้นำพรรคที่มีความน่าเชื่อถือ ก็ยิ่งทำให้คนเชื่อจนได้ชัยชนะเกินคาด อย่างในยุคของพรรคไทยรักไทย เคยชนะเลือกตั้งและทำแลนด์สไลด์ได้จริงๆ
ต่างชาติเมินทักษิณกลับบ้าน หวังยึดสิทธิเสรีภาพ
ในประเด็นการจะกลับมาของทักษิณ ชินวัตร ด้านสื่อต่างชาติไม่ได้สนใจแบบลงลึกว่า กลับมาแล้วจะเกิดการเคลื่อนไหว เพราะอย่างไรแล้วต้องทำตามกฎหมาย ทำให้พรรคเพื่อไทย ไม่เสนอกฎหมายนิรโทษกรรม แต่เข้าใจว่ามีเจตนาจะนิรโทษกรรมให้กับนักโทษการเมืองจากม็อบต่างๆ และต้องดูปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามจะตอบโต้อย่างไร ขณะที่มาตรา 112 คนก็เข้าใจกันมากขึ้นว่าเป็นเพียงการแก้ไขในประเด็นไม่ให้มีการกลั่นแกล้งทางการเมือง มีการดำเนินคดีอย่างโปร่งใส ไม่เป็นเครื่องมือในการกำจัดคู่แข่ง
“ส่วนใหญ่เป็นสื่อตะวันตกให้ความสนใจมากกว่าสื่อเอเชีย ได้เห็นว่าไม่ใช่คนหนุ่มสาวอย่างเดียวที่อยากเห็นการเมืองไทยพัฒนาให้มากกว่านี้ และในเรื่องนโยบายต่างประเทศ สื่อตะวันตกอาจคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ จะไปทางตะวันตก ไม่สนับสนุนรัฐบาลเมียนมา และประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จะต้องเคารพสิทธิมนุษยชน สามารถกดดันประเทศเพื่อนบ้านที่ปราบปรามประชาชน ให้ตรงกับความคิดชาติตะวันตก”
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเอาอย่างตะวันตก แต่จะเน้นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งต่างชาติกำลังมองว่าไทยจะเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง และไม่ใช่จะรับใช้ผลประโยชน์ของชาติตะวันตก เป็นความคิดในการส่งเสริมเรื่องสิทธิเสรีภาพ และประเทศตัวเองต้องเป็นตัวอย่างในการไม่คุมสื่อ ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ต้องไม่ส่งคนไปโค่นล้มเผด็จการในประเทศเพื่อนบ้าน ถือเป็นการแทรกแซงโดยตรงคงไม่ได้ จะต้องส่งเสริมให้เกิดความชอบธรรมเรื่องสิทธิมนุษยชน เพื่อให้เกิดความสงบสุข
...
พิธา คนรุ่นใหม่ เป็นนายกฯ เปลี่ยนโฉมการเมืองไทย
หากพิธา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะเปลี่ยนโฉมการเมืองไทยในสายตาของต่างชาติ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยได้คนรุ่นใหม่เป็นผู้นำประเทศ จนได้รับการชื่นชมว่าประเทศนี้ยอมรับความชอบธรรม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ ทำให้คนไทยยืดอกได้ จากการตัดสินเลือกคนที่ต้องการ ให้สามารถเปลี่ยนถ่ายอำนาจได้อย่างสันติ กลายเป็นการเมืองที่ต่อสู้ด้วยความคิด
“หากการจัดตั้งรัฐบาล เป็นไปอย่างโปร่งใส จะทำให้นักลงทุนเกิดความสบายใจไม่ต้องเสียเงินเบี้ยบ้ายรายทาง แต่ไม่ถึงกลับไปย่ำยีฝ่ายเดิม จะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ อย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่คลั่งไคล้คนรุ่นใหม่อย่างไม่ลืมหูลืมตา จะต้องสร้างแรงกดดันในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่สิ่งที่คนต้องการให้ก้าวไกลทำอะไร จะต้องไม่ให้ผิดความคาดหวัง กลายเป็นการเมืองใหม่ที่มาจากความคาดหวัง อาจทำให้ทำงานลำบากก็ได้”