บุกจับพระดัง นำไปสู่การเปิดโปงขบวนการยักยอกเงินวัด สะท้อนภาพมารศาสนาแฝงตัวหากินเป็นขบวนการ ขณะที่กฎเหล็กควบคุมเงินปัจจัยการทำบุญว่าส่วนไหนของวัดและส่วนตัว เป็นประเด็นที่คณะสงฆ์ต้องสร้างกลไกตรวจสอบ เพื่อไม่ให้บุคคลไม่หวังดี เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

หลังกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) แถลงข่าวถึงการตรวจสอบอดีตพระดังใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ยักยอกเงินวัดกว่า 51 ล้านบาท พบเงินสด และบุกค้นบ้านน้องสาว พร้อมเปิดโปงขบวนการที่ร่วมกันยักยอกเงิน จนเป็นประเด็นที่ประชาชนสนใจว่า ควรมีกระบวนการตรวจสอบทางการเงินวัดต่างๆ อย่างเข้มงวด

สำหรับวินัยสงฆ์ ปัจจัยที่ผู้ทำบุญมอบให้วัดกับมอบให้พระส่วนตัวเพื่อปฏิบัติกิจของสงฆ์ พระมหาวีรธิษณ์ วรินฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดป้อมวิเชียรโชติการาม จ.สมุทรสาคร ในฐานะผู้ศึกษาพระธรรมวินัย อธิบายว่า ตามหลักปฏิบัติของสงฆ์ ปัจจัยที่สามารถนำมาเป็นส่วนตัวได้ ผู้มอบต้องบอกกล่าวแก่พระสงฆ์ว่า ปัจจัยส่วนนี้มอบให้เป็นการส่วนตัว เพื่อกิจกรรมต่างๆ เช่น เป็นค่าเดินทางไปทำกิจกรรมด้านพุทธศาสนา หรือใช้ในการรักษาอาการป่วยส่วนตัว โดยไม่ได้มีข้อจำกัดว่าปัจจัยส่วนนั้น ต้องมีจำนวนเงินเท่าไร

...

ถ้ากรณีที่มอบปัจจัยให้เพื่อการส่วนรวม ถือเป็นของสงฆ์ทั้งหมด โดยต้องมอบให้ผู้ที่ดูแลด้านการปัจจัยของวัดจัดการ แม้มีการส่งมอบปัจจัยให้พระขณะทำบุญ แต่ตามกฎคณะสงฆ์ถือว่าเป็นสิ่งสมมติ เช่นเดียวกับการทำบุญในยุคนี้ ที่มีการโอนปัจจัยมา เพื่อร่วมทำบุญในกิจการต่างๆ พระสงฆ์ต้องส่งมอบปัจจัยของผู้มีจิตศรัทธาให้กับทางวัดทั้งหมด ซึ่งคณะสงฆ์ต้องรับรู้ร่วมกัน หากเจ้าอาวาสหรือผู้ดูแลนำปัจจัยส่วนนี้ไปใช้ในการส่วนตัว ถือว่ามีความผิดตามพระวินัย

หากมีการยักยอกเงินวัด ต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระทันที แม้เป็นเงินแค่บาทเดียว ถือเป็นความผิดร้ายแรง ขณะที่วงการสงฆ์ตอนนี้ มีคนเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ ทั้งรูปแบบตีสนิทกับพระ ไปจนถึงเป็นขบวนการเพื่อปลุกปั่นพระรูปนั้นผ่านสื่อโซเชียล เมื่อพอมีคนเข้ามาทำบุญจำนวนมาก จึงมีการนำปัจจัยที่ชาวบ้านทำบุญให้กับวัดมาเป็นของส่วนตัว

อีกกรณี หากมีความจำเป็นต้องนำปัจจัยไปใช้ในการสาธารณะ ต้องมีการประชุมร่วมของคณะสงฆ์ภายในวัดเพื่อลงมติ แสดงความคิดเห็นร่วมกัน เช่น การนำเงินไปช่วยเหลือ ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลในชุมชน แต่ถ้านำไปบริจาคโดยไม่บอกกับคณะสงฆ์ ถือว่าเป็นความผิด จะขาดจากความเป็นพระทันที

หลายคณะสงฆ์มีกฎเคร่งครัด ไม่ให้พระจับปัจจัย เพื่อป้องกันการทุจริต ถือว่าเป็นเรื่องดีในทางปฏิบัติ แต่พระบางวัดไม่มีฆราวาสเป็นคนกลางในการจัดการปัจจัยวัด ขณะที่อีกปัญหาสำคัญคือ พระบางรูปที่กลายเป็นกระแสสังคม วุฒิภาวะทางความคิดยังไม่เหมาะสม เพราะพอมีชื่อเสียง ก็มีคนที่รายล้อม พูดแต่คำชื่นชม ทำให้พระรูปนั้นขาดสติยับยั้งชั่งใจ

“ตัวอย่าง พระสายวิปัสสนากรรมฐาน ในอดีตไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ต้องผ่านบททดสอบ อย่างสายของ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร จะส่งลูกศิษย์ไปฝึกกรรมฐานในประเทศพม่า 2-7 ปี เมื่อกลับมา จะต้องผ่านการทดสอบกรรมฐานอีกพักใหญ่ ก่อนได้รับการยอมรับว่าเป็นพระกรรมฐาน ซึ่งบททดสอบเหล่านี้ทำให้ครูบาอาจารย์หลายท่าน เมื่อมีชื่อเสียงได้รับการยอมรับ และไม่หลงกับลาภยศ”

เงินทำบุญที่ญาติโยมยกมืออธิษฐานท่วมหัว หากนำมาเป็นของส่วนตัวก็อาจกลายเป็น “เงินกรรม” สำหรับประชาชนที่มีความรู้สึกไม่มั่นใจในการจะทำบุญกับพระ อยากให้มองแบบไม่ยึดติดกับตัวบุคคล แต่ให้ยึดติดกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ควรพิจารณาในการทำบุญ หากเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระบางรูป อาจเปลี่ยนวัดที่ทำบุญ ซึ่งไม่อยากให้เหตุการณ์เสื่อมเสียที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนที่มีจิตศรัทธา สูญเสียกำลังใจในการทำบุญ.