การขยายผลจับกุมแก๊งจีนเทา จนพบเครือข่าย "นวพร" มีพฤติกรรมอุ้มบุญ เพื่อแลกกับกรรมสิทธิ์การถือครองทรัพย์สินในไทย เป็นช่องโหว่กฎหมายอุ้มบุญ ที่ยากจะเอาผิด จึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบดีเอ็นเอของบุตร เพราะพบว่ามีขบวนการจัดหาหญิงสาวเพื่อตั้งท้อง หญิงบางคนอุ้มท้องให้กับชายชาวจีนมากกว่า 1 คน

วัลลภ ตังคณานุรักษ์ (ครูหยุย) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และผู้ร่วมร่างกฎหมายอุ้มบุญ กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า จากเหตุการณ์ทลายขบวนการหญิงจีน ที่รับอุ้มบุญในไทย โดยมีการจัดหาหญิงสาว เป็นประเด็นที่มีความกังวลมาก ปัจจุบันการสวมสิทธิ์มีกระบวนการซับซ้อนมากขึ้น

“กรณีที่ชาวจีนเข้ามาแต่งงานกับคนไทย และได้บุตรสัญชาติไทย ต้องมีการพิจารณาเป็นรายกรณี โดยเฉพาะในกลุ่มทุนจีนสีเทา ที่มีขบวนการจัดหาหญิงไทย ให้มาตั้งท้องกับคนจีน หญิงรายนั้นจะรับจ้างตั้งท้อง โดยใช้น้ำเชื้อจากชายชาวจีนหลายคน จึงต้องใช้เทคนิคทางการแพทย์เข้ามาตรวจสอบว่า หญิงรายดังกล่าวอุ้มบุญกี่ท้อง และหญิงคนนั้นอุ้มบุญให้ชาวจีนกี่คน”

...

ปกติการอุ้มบุญจะมองแค่ตัวน้ำเชื้อและไข่ในการผสมพันธุ์เป็นหลัก เช่น ห้ามนำน้ำเชื้อ ไข่ของคนในครอบครัวและญาติมาใช้ แต่กรณีชาวจีนมาแต่งงานกับคนไทย ถือเป็นรายละเอียดที่ต้องมีการตรวจสอบอย่างลงลึกให้มากขึ้น

สำหรับกรณีที่มีการระบุว่า ขบวนการจีนสีเทาจะนำหญิงไทยไปผสมไข่ในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนกลับมาตั้งท้อง เมื่อคลอดลูกแล้วจะให้ชาวจีนมารับเด็กรายดังกล่าวเป็นลูกบุญธรรม ซึ่งการรับเด็กเป็นลูกบุญธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด

“ที่น่าห่วงคือ การที่ชาวจีนมาแต่งงานกับหญิงไทยและมีบุตร ใช้สิทธิ์สัญชาติไทยของบุตรมาซื้อที่ดิน สิ่งปลูกสร้างในไทย เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะขบวนการนี้มักมีนายหน้าในการจัดหาหญิงไทยเพื่อตั้งท้อง ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบเสาะหาต้นตอของขบวนการนายหน้า จะทำให้สามารถกวาดล้างได้ทั้งระบบ เพราะขบวนการนายหน้า มีการเชื่อมโยงกันทั้งทางตรงและทางอ้อม”

หากมองถึงผลกระทบในระยะยาว ที่ส่งผลกระทบต่อตัวเด็ก เป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตา ถ้าครอบครัวนั้นมีเป้าหมายเพื่อหวังผลประโยชน์ในตัวเด็ก การเลี้ยงดู และการดูแล จะสร้างผลกระทบให้กับประเทศไทยในระยะยาวได้

ต้องยอมรับว่า สังคมไทยมีผู้หญิงที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด การมารับจ้างอุ้มบุญ เป็นอีกทางเลือกในชีวิต แต่หน่วยงานภาครัฐก็ควรเข้าไปช่วยเหลือ และสร้างทางเลือกอาชีพใหม่ให้กับคนเหล่านี้ สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่ผู้หญิงเหล่านั้น มีอายุอยู่ในช่วงวัยรุ่น เพราะที่ผ่านมีข้อมูลว่า หญิงที่รับงานลักษณะนี้จะอยู่ในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ถ้ามีอายุเฉลี่ยน้อยลงประมาณ 18-20 ปี จะค่อนข้างน่าเป็นห่วง และมีโอกาสที่หญิงรายนั้นจะรับจ้างแต่งงาน เมื่อตั้งท้องแล้ว จะไปแต่งงานใหม่ เพื่อให้ได้บุตรตามต้องการ

จึงอยากเตือนหญิงไทยที่รับจ้างอุ้มบุญ ให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะอาจถูกหลอก และกลายเป็นเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์ เมื่อถูกจับได้จะมีความผิดทางกฎหมาย จนสูญเสียอนาคต ทำให้หมดโอกาสต่างๆ ในชีวิตได้

“ขณะนี้ทางอนุกรรมของสภา เตรียมเรียกหน่วยงานที่ดูแลด้านการรับบุตรบุญธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อมาให้ข้อมูลและตรวจสอบว่า ที่ผ่านมามีขบวนการนายหน้า จีนสีเทา แฝงตัวเข้ามาในระบบการรับดูแลบุตรบุญธรรมหรือไม่ รวมถึงเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างโปร่งใส”.

...