เหตุไฟป่าเขาชะพลู ก่อนลุกลามไปยังเขาแหลม พื้นที่เชื่อมต่อระหว่างตำบลเขาพระและตำบลพรหมณี อำเภอเมือง จ.นครนายก บริเวณด้านหลังโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า แต่ด้วยกระแสลมแรงทำให้ไฟปะทุเป็นวงกว้างกลายเป็นทะเลเพลิง ก่อนลุกลามไปเขาตะแบก และเกรงว่าจะลุกลามไปยังเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่มีความอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยสัตว์ป่าจำนวนมาก ต้องระดมเจ้าหน้าที่ทำการดับไฟในทุกวิถีทาง และทำแนวกันไฟอย่างเร่งด่วน
จากเหตุไฟไหม้ป่าได้เกิดหมอกควันลอยมาตามลม ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง และคาดว่าจะมีหมี เก้ง กวาง นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะหนีตายออกมาจากพื้นที่ ท่ามกลางการเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้ไฟปะทุหนักจากกระแสลมแรง และหวังว่าฝนจะตกทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อย และไฟจะลุกลามไปอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่หรือไม่? “ดร.สุรพล ดวงแข” นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม และกรรมการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร อธิบายให้เห็นภาพว่า เขาชะพลูและเขาแหลมที่เกิดไฟไหม้เป็นเขาหินปูน มีสภาพป่าเต็มไปด้วยไผ่รวกในฤดูแล้ง อยู่ทางตอนเหนือและตะวันตก รับลมมรสุมมาจากพื้นที่จ.ปราจีนบุรี ติดกับ อุทยานแห่งชาติทับลาน และพื้นที่ จ.นครนายก ซึ่งเป็นป่าดงดิบที่ปกติไม่มีปัญหาเรื่องไฟป่า ขณะที่เขาหินปูนส่วนใหญ่มีไม้ผลัดใบ และไผ่รวก เมื่อไฟไหม้ป่าก็ไม่ได้ก่อผลเสียอะไรมาก เพราะไฟไหม้ใบไม้และหญ้าแห้งเท่านั้น
...
แต่ปัญหาใหญ่หากสะสมความร้อนมานานหลายปีก็จะเกิดไฟไหม้ขึ้นมา และปีที่แล้วฝนตกลงมามากทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องไฟไหม้ป่า จนมาปีนี้ไผ่ตายขุย อายุ 50 ปี ซึ่งตายยกกอจนดอกแห้งในช่วงหน้าแล้ง และเกิดไฟไหม้ขึ้นมา อาจก่อผลกระทบบ้าง แต่ไม่มาก ในทางกลับกันได้ทำให้เมล็ดไผ่งอกงามดี และประเด็นอยู่ที่ความเสียหายว่ามากน้อยเพียงใด ซึ่งการดับไฟป่าในครั้งนี้ได้ใช้ทรัพยากรมากเกินไปในการดับไฟป่าให้ทั่วถึง คงเป็นไปไม่ได้
“ยกตัวอย่างพื้นที่กาญจนบุรีก็มีการจุดไฟเผาป่าทำเกษตรกรรมมานานหลายปี จนทำให้สภาพป่าสุดท้ายเหลือแต่พวกไม้ไผ่ ไม้เต็งรัง กลายเป็นเชื้อเพลิงสืบเนื่องมายาวนาน แต่ต้องถามกรมอุทยานฯ ได้มีการแบ่งพื้นที่ป่าเขาหินปูนกับป่าดงดิบเอาไว้อย่างไรในการกำหนดเขต หากป่าดงดิบเกิดไฟป่าก็จะมีหญ้าขึ้นมาแทน กลายเป็นเชื้อเพลิงเกิดไฟป่าลุกลามไปเขาใหญ่ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ลุกลามหนัก เพราะป่าเขาใหญ่มีความชื้น”
ไฟป่า ส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ต้องมีแผนรองรับ
อีกทั้งไฟไหม้ป่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ มีการเกิดและตาย เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ จะต้องมีแผนรองรับ เพราะไฟไหม้เขาแหลมเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมกับ จ.ปราจีนบุรี และ จ.นครนายก หากปีหน้าเกิดภัยแล้งหนักก็จะเกิดไฟไหม้ป่าอีก แต่จะไม่รุนแรง ซึ่งในรอบ 4-5 ปี ช่วงเอลนีโญจะเกิดความแห้งแล้งจนเกิดไฟไหม้ป่าเหมือนกับเชียงใหม่และเชียงราย จะต้องมีแผนกำหนดเขตไฟป่า และต้องลดเชื้อเพลิงไม่ให้ไฟป่าลุกลาม แต่เท่าที่ทราบมายังไม่มีการแบ่งพื้นที่ในการทำแนวกันไฟเพื่อรักษาป่าดงดิบ
“ไฟไหม้เขาแหลม ก่อผลกระทบไม่มากกับระบบนิเวศ รวมถึงสัตว์ป่าที่ส่วนใหญ่จะอพยพไปหากินในที่ต่างๆ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ในช่วงหน้าแล้ง เช่นเดียวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่อาจมีบ้าง แต่ไม่มาก เนื่องจากปราจีนบุรีและนครนายกมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมาจากทะเลอ่าวไทย ซึ่งแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้รับผลกระทบน้อย เพราะหมอกควันจากไฟป่าถูกพัดไปทะเล ไม่เหมือนคนภาคเหนือได้รับผลกระทบจากไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 มากกว่า”
ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ จะไม่ได้รับผลกระทบเช่นกันจากเหตุไฟไหม้เขาแหลม เพราะเป็นพื้นที่ราบโดยส่วนใหญ่ และมีลมทะเลมาช่วยพัดเอาหมอกควันเหล่านั้นให้กระจายออกไป แต่ยังคงเผชิญกับมลภาวะทางอากาศฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากควันดำของรถยนต์ และลมได้พัดไปอีกต่อจนถึงภาคเหนือตอนบน ซึ่งหลายพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ สภาพอากาศนิ่งร้อนสุดๆ จนลมไม่มี ทำให้มลพิษในอากาศไม่ลอยพัดไปในที่อื่น.