ปี 2566 ประเทศไทยเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค. และอากาศจะร้อนมากขึ้นหลายพื้นที่ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค.เป็นต้นไป จากนั้นจนถึงปลายเดือน เม.ย.อากาศจะร้อนอบอ้าวและร้อนจัดหลายพื้นที่ อุณหภูมิสูงที่สุด 40-43 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะจังหวัดสุโขทัย ตาก ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล อุณหภูมิสูงสุด 38-39 องศาเซลเซียส ตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ก่อนจะสิ้นสุดฤดูร้อนในช่วงกลางเดือน พ.ค.

อากาศร้อนปี 2566 ทุบสถิติในรอบ 8 ปี
อากาศร้อนปี 2566 ทุบสถิติในรอบ 8 ปี

นอกจากนี้ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 จะเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญ ฝนในปีนี้จะตกน้อยลงในฤดูฝน เป็นสัญญาณความแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำ เริ่มชัดเจนมากขึ้นในไม่ช้านี้ และจะส่งผลกระทบต่อหลายส่ิงหลายอย่างเป็นโดมิโน ยิ่งเมื่อฟังจากปากของ “รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกษตร ชี้ให้เห็นว่า จากนี้ไปลานีญาเริ่มอ่อนกำลังลง และเอลนีโญเริ่มยกกำลังขึ้น จะทำให้ฝนในปีนี้ตกไม่มากเหมือนเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา หากไม่ระวังในเรื่องการจัดเก็บน้ำ ก็จะมีปัญหาในด้านการทำเกษตร หลังจากปรากฏการณ์ลานีญามาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน และเอลนีโญ กำลังมา

...

“เป็นสัญญาณเตือนต้องเริ่มเก็บน้ำ และสภาพอากาศปีนี้ร้อนมากขึ้น อุณหภูมิสูงขึ้น จะทำให้ผู้คนเจ็บป่วย ประสิทธิภาพของคนทำงานจะลดน้อยลงจากอากาศที่ร้อนมาก ตามมาด้วยเอลนีโญ จะเกิดไฟป่า และฝุ่น PM 2.5 จะยิ่งเยอะมาก หากเอลนีโญยังคงอยู่ ทำให้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. หลายพื้นที่ฝนจะน้อยลงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ เกษตรกรจะต้องระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผลผลิต โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน และพื้นที่ที่ไม่เข้าถึงแหล่งน้ำใดๆ”

จากภาพฉายแบบจำลองล่าสุดของทาง International Research Institute for Climate Society (IRI) มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ Climate Prediction Center องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) สหรัฐอเมริกา พบว่าอุณหภูมิโลกมีค่าเฉลี่ยร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส ทำให้ปีนี้ร้อนจัดทั่วทุกภูมิภาค ขณะที่ภาพฉายของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC เป็นการคาดการณ์ในอนาคตว่าโลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียส ณ สิ้นศตวรรษ จึงพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคาดหวังให้ทุกประเทศเพิ่มความพยายาม

ฝนจะตกน้อยลง สัญญาณเตือนภัยแล้ง
ฝนจะตกน้อยลง สัญญาณเตือนภัยแล้ง

อากาศร้อนมากในรอบ 8 ปี เดือน เม.ย.ระอุหนัก

สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในช่วง 8 ปี ถือว่าร้อนที่สุดในรอบ 145 ปี สะท้อนให้เห็นว่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก และปีนี้จะร้อนที่สุดในรอบ 8 ปี ทำให้เดือน เม.ย.อากาศจะร้อนกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน และภาคอีสาน จะร้อนกว่าภาคกลางและภาคใต้ ตั้งแต่เดือน เม.ย.ไปจนถึงเดือน ก.ย. ประมาณ 0.5-1 องศาเซลเซียส แต่เดือน เม.ย.จะร้อนที่สุด อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นอีก อาจบวกไปอีก 1 องศาเซลเซียส

“เกษตรกรต้องเตรียมแหล่งน้ำให้พร้อม และภาครัฐต้องพัฒนาสายพันธุ์พืชใหม่ โดยเฉพาะข้าว หรือพืชต่างๆ ให้ทนร้อน ทนแสงมากขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าไทยยังขาดแคลนนักวิจัย และงบได้น้อยในการพัฒนาพันธุ์พืช เพราะโครงสร้างของราชการไม่เอื้อ ทำให้คนเก่งๆ ไม่อยากอยู่ในระบบราชการ และเมื่ออากาศร้อนขึ้น แมลงต่างๆ และโรคพืช ก็จะมากขึ้นตามมา ทำให้เกษตรกรมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นในการซื้อยากำจัดศัตรูพืช”

เกษตรกรต้องเก็บน้ำไว้ใช้ เตรียมรับมือภัยแล้ง
เกษตรกรต้องเก็บน้ำไว้ใช้ เตรียมรับมือภัยแล้ง

...

โลกร้อนมากขึ้น ยังมีปัญหาตามมาจากไฟป่า ไทยจะต้องมีกำลังคนบุคลากรและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการดับไฟ อย่างประเทศสหรัฐฯ มีการเตรียมพร้อมรับมืออากาศร้อนที่เพิ่มขึ้น ทั้งการปลูกป่าเพิ่ม ควบคู่กับการอนุรักษ์ป่าที่มีอยู่เดิม นอกจากนั้นอากาศที่ร้อนมากขึ้นจะกระทบต่อระบบอาหารในการจัดเก็บอาหาร ทำให้เกิดจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสียเร็ว จะเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อาหาร หรือแม้แต่ข้าวในไซโลจะเสื่อมค่าลง

ส่วนภัยแล้งจะยาวนานไปจนถึงเมื่อใดนั้น ไม่สามารถบอกได้ แต่นับจากนี้ไปจนถึงเดือน ก.ย.จะแล้งกว่าค่าเฉลี่ยปกติ เกือบทั่วประเทศของไทย สามารถคาดการณ์ได้ในระยะสั้นเท่านั้นในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ส่วนโอกาสที่ปีนี้จะเกิดน้ำท่วมหนักน่าจะน้อย เนื่องจากลานีญาแผ่วลง แต่ปีนี้จะแล้งหนักอย่างแน่นอน และไม่ใช่จะไม่เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ ขอให้เตรียมรับมือกับสภาพอากาศแปรปรวน หรือ Spring Predictability Barrier เกษตรกรต้องระวังผลผลิตเสียหายให้มาก จากฝนที่อาจตกไม่ตามฤดูกาล และจากอากาศที่ร้อนขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยปกติ.