คดีตำรวจไทยรีดไถเงินดาราไต้หวัน น่าจะบานปลายไม่จบ ต่างฝ่ายออกมาพูดโดยเฉพาะตำรวจรีบออกมาปฏิเสธ เร่งหาหลักฐานและพยานแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีให้กลับคืนมา ขณะที่ “อัน หยู ฉิง” ดาราสาวไต้หวันยังคงยืนยันถูกรีดไถเงินจริง แถมบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ใช่ของตัวเองแน่ๆ แต่มีการยัดใส่มือแล้วถ่ายรูปเป็นหลักฐาน เห็นได้ชัดตำรวจไทยโกหก จนการรีดเงินเป็นเรื่องปกติไปแล้วในประเทศไทย สุดท้ายต้องพึ่งตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ให้เข้ามาช่วยเหลือ

กลายเป็นว่าฝั่งไหนโกหกกันแน่ แต่ได้สะเทือนวงการตำรวจไทยไม่น้อยจากเรื่องฉาวที่เกิดขึ้นติดต่อกัน และกระทบภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย แม้โชเฟอร์รถแกร็บที่ดาราไต้หวัน กับเพื่อนๆ นั่งมาขณะเจอด่านตรวจหน้าสถานทูตจีน ให้การว่าทุกคนในรถเมาจนกลิ่นเหล้าหึ่ง พูดจาโวยวายตลอดทาง และมีการพูดคุยกับตำรวจด้านท้ายรถ ทำให้ไม่เห็นสิ่งผิดปกติระหว่างการตรวจค้น

แต่คนในสังคมยังคงสงสัยกับคำพูดของโชเฟอร์รถแกร็บรายนี้ โดยเฉพาะการจำได้แม่นดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางดึก ซึ่งหลักฐานชิ้นสำคัญคือกล้องหน้ารถ จะเป็นข้อพิสูจน์ หากข้อมูลการบันทึกภาพและเสียง ไม่อันตรธานหายไปเสียก่อน และปรากฏว่าไฟล์ภาพได้ถูกลบไปแล้วจริงๆ เพราะโชเฟอร์อ้างว่ามีการฟอร์แมตทุก 7 วัน แต่ก็ให้ความร่วมมือนำเมมโมรี่การ์ดให้ตำรวจนำไปตรวจสอบ

...

หรือความไม่ปกติจะเป็นเรื่องปกติของวงการตำรวจไทยไปเสียแล้ว หากไม่เร่งแก้ไขกอบกู้ศักดิ์ศรีให้คืนมาโดยเร็ว “รศ.ดร.พ.ต.ท.กฤษณพงศ์ พูตระกูล” ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า การให้การที่ขัดกันระหว่างตำรวจกับดาราสาวไต้หวัน ต้องมีใครสักคนที่โกหก จะต้องมาพิสูจน์ว่าใครพูดความจริง ซึ่งต้องสืบสวนข้อเท็จจริงว่า เรื่องร้องเรียนในการตั้งด่านตรวจ เป็นไปตามข้อกล่าวหาหรือไม่ อาจต้องมีหน่วยงานภายนอกหรือพนักงานอัยการ เข้ามาร่วมสอบสวน

เพราะที่ผ่านมามีหลายกรณีกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรตำรวจ ทั้งเรื่องตู้ห่าว และบ่อนการพนัน จะต้องหาหลักฐานเท่าที่รวบรวมได้ และต้องดำเนินการสืบสวนโดยใช้เทคโนโลยีทางนิติวิทยาศาสตร์ และหลักฐานจากกล้องวงจรปิด หากโชเฟอร์รถแกร็บลบข้อมูลภาพกล้องในรถไปแล้ว ก็สามารถกู้ข้อมูลได้ และสอบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าตกลงมีตำรวจกี่คนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

อีกทั้งดาราสาวไต้หวัน จำหน้าตำรวจได้ น่าจะดำเนินการสืบสวนเชิงลึกเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง หรือหากค่าตอบแทนของตำรวจไม่เพียงพอ ก็ไปแก้ไขปัญหา ซึ่งรวมไปถึงทุกหน่วยงานต้องปรับแก้ ไม่เช่นนั้นจะกระทบรัฐบาลไปด้วย เพราะนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และต้องยอมรับว่ารายได้หลักของประเทศมาจากการท่องเที่ยว ถ้าภาพลักษณ์ไม่ดีขึ้นจะกระทบต่อการท่องเที่ยว

“ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ทุกอย่างพันกันไปหมด ทำไม 8 ปี องค์กรตำรวจตกต่ำลงเรื่อยๆ ก่อนหน้าก็คดีบอส อยู่วิทยา และปี 57 ที่เข้ามาจะปฏิรูปตำรวจ แล้วทำไมยังเป็นเช่นนั้นอีก ต้องมีคณะกรรมการสอบสวน ไม่รู้มีการแต่งตั้งแล้วหรือยัง ก็ต้องมาสอบสวนกรณีดาราสาวไต้หวัน มาดูค่าตอบแทนตำรวจ มีการเอาใจใส่ตำรวจชั้นผู้น้อยหรือยัง จะลงโทษพวกเขาอย่างเดียวไม่ได้ เหมือนการกินข้าวกินกี่จานก็ไม่อิ่ม ก็ต้องแสวงหา หรือจานก็ไม่มี ช้อนก็ไม่มี สุดท้ายผลกรรมตกอยู่ที่ประชาชน”

จากที่ติดตามกรณีดาราสาวไต้หวันออกมาแฉ ยังสงสัยมีการตั้งด่านตรวจเรียกผลประโยชน์หรือไม่ หรือเป็นเพราะดาราสาวเป็นชาวต่างชาติ อาจไม่รู้ช่องทางการติดต่อสื่อสารในไทย และคลิปที่ถ่ายไม่เห็นหน้าตำรวจ ไม่เหมือนกรณีสาวจีนรีวิวถ่ายคลิป ใช้บริการรถตำรวจนำขบวน ซึ่งเห็นหน้าตำรวจชัดเจน และอีกอย่างถ้าดาราสาวไต้หวันมีการกระทำความผิดจริง ทำไมตำรวจปล่อยตัวไป

ส่วนประเด็นดาราสาวไต้หวัน กับเพื่อนๆ มีอาการเมาหรือไม่เมา สามารถไปสืบมาได้ว่าไปที่ไหนมาก่อนหน้า ซึ่งมีร่องรอยหลักฐาน และพยานแวดล้อมอยู่แล้ว เช่นดื่มไปที่แก้ว โต๊ะข้างๆเห็นหรือไม่ รวมถึงดูจากบิลที่สั่งขณะนั่งอยู่ภายในร้าน เพราะการจะคลายความสงสัยทั้งหมดต้องทำให้กระจ่างและโปร่งใส หากยิ่งแก้ตัว ยิ่งจะส่งผลต่อองค์กรตำรวจ และความเชื่อมั่นศรัทธาต่อตำรวจ ควรมีหน่วยงานภายนอกให้อัยการเข้ามาร่วมสอบสวนความโปร่งใส เหมือนอย่างประเทศอเมริกา หรือเยอรมนี

...

“หากดาราสาวไต้หวันกระทำผิดจริง ก็ต้องดำเนินการส่งตัวไปยังพนักงานสอบสวนในโรงพัก ต้องเขียนบันทึกประจำวันตามกระบวนการทุกอย่าง จะต้องโปร่งใส มีความกระจ่าง ถ้าไม่เช่นนั้นจะยิ่งทำให้องค์กรตำรวจไปกันใหญ่ อะไรที่คลางแคลงใจควรเร่งหาหลักฐาน เพราะสุดท้ายแล้วความจริงมีเพียง 1 เดียวเท่านั้น”.