ขับรถแล้วชนไม่ต้องเป่าแอลกอฮอล์ก็ได้ด้วยหรือ? กลายเป็นคำถามของสังคมว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ จากกรณีผู้ขับรถเบนท์ลีย์ เฉี่ยวชนรถปาเจโร่ป้ายแดง และรถอาสาดับเพลิง บนทางด่วนเฉลิมมหานคร โดยตำรวจออกมาชี้แจงว่าผู้ขับขี่รถเบนท์ลีย์ ยินยอมให้เป่า แต่ได้รับบาดเจ็บหน้าอกกระแทกรถ อาจทำให้แรงลมในการเป่าไม่เพียงพอทำให้เครื่องวัดไม่เสถียร ทางพนักงานสอบสวนจึงใช้วิธีตรวจเลือดแทน เพื่อความแม่นยำ น่าจะรู้ผลในวันที่ 10 ม.ค. นี้ ล่าสุดผลออกมาแล้ว พบปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ถึง 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทำให้รอดข้อหาเมาแล้วขับ
แต่ได้มีการตั้งข้อสังเกตจากการที่ผู้ขับขี่รถเบนท์ลีย์ อ้างว่าเจ็บหน้าอก แต่ขณะอยู่ในโรงพัก ทำไมสามารถนั่งเคี้ยวหมากฝรั่งและคุยโทรศัพท์ได้เหมือนเป็นปกติ และตามกฎหมายแล้วหากไม่ยินยอมให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้ที่ขับขี่รถในขณะเมาสุรา ส่วนการตรวจเลือด เพื่อตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ ควรทำภายใน 4 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ค่าใกล้เคียงกับการเกิดอุบัติเหตุ เพราะหากเกิน 6 ชั่วโมง จะทำให้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดอาจลดลงต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
...
กรณีดังกล่าวไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมามีหลายครั้งที่คนขับรถหรูแล้วเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีการเป่าแอลกอฮอล์ด้วยคำกล่าวอ้างที่ยกขึ้นมาของผู้เกี่ยวข้อง เหมือนจงใจจะช่วยเหลือ หรืออาจเกิดจากความผิดพลาดในการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ ก็อาจเป็นไปได้ และจากการตั้งข้อสังเกตของ "พรหมมินทร์ กัณธิยะ" ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ มองว่า หากยึดตามระเบียบฉบับใหม่ล่าสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะใช้คำว่าให้ผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตทุกราย ต้องมีการเจาะเลือดหาระดับแอลกอฮอล์
แต่เมื่อกลับไปดูมาตรการก่อนหน้านั้น ซึ่งตามกฎหมาย ให้ใช้เครื่องเป่าแอลกอฮอล์ กรณีตั้งจุดตรวจ เพราะยังไม่เกิดเหตุ แต่เกิดปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ต้องทำให้รัดกุมมากขึ้น นำไปสู่การออกระเบียบใหม่ กรณีผู้ประสบเหตุมีสภาพไม่รู้สึกตัว ต้องเจาะเลือดได้เลย แม้จะยินยอมหรือไม่ แต่เหตุล่าสุดผู้ขับรถเบนท์ลีย์เจ็บหน้าอกจริงหรือเท็จไม่มีใครรู้
"การได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ในทางการแพทย์ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางคนหัวกระแทกพื้นสามารถลุกมายืนได้ หรือบางคนดูภายนอกไม่เป็นอะไร กลับเสียชีวิต แต่เคสนี้คิดว่าตำรวจเจอคนรวยก็อาจจะหงอ และสิ่งที่พูดไม่ได้กล่าวหา เพราะที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้น จนคนในสังคมยุคนี้ ไม่อยากเห็นภาพอย่างนี้อีกแล้ว ทั้งที่ตำรวจควรทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ควรพาผู้ขับรถเบนท์ลีย์ไปตรวจเลือด เพราะตกเป็นผู้ต้องหาแล้ว การปล่อยให้ไปตรวจเลือดเอง เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และต้องตรวจภายใน 4 ชั่วโมง หากพบปริมาณแอลกอฮอล์มากพอก็จบ ยกเว้นไม่ถึง ก็ต้องคำนวณตามหลักวิชาการ”
เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการ ไม่ใช่เป็นตัวทำลายความน่าเชื่อถือ หากผลเลือดเป็นบวกก็จบ ไม่มีข้อครหา แต่ถ้าต่ำกว่ากฎหมายกำหนดก็จะโดนสังคมประณาม อีกทั้งการสั่งการกว่าจะถึงผู้ปฏิบัติก็ล่าช้าไป และเห็นได้ว่าฝ่ายปฏิบัติไม่ชัดเจน จนเกิดช่องว่างนำไปสู่การใช้ดุลพินิจ เหมือนอย่างกรณีนี้ กลายเป็นว่าคุกไว้ขังคนจนนั้นเป็นเรื่องจริง และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้บอกว่าเจ้าหน้าที่ผิด แต่บกพร่องไม่ชัดเจน แม้วันนั้นมีการปฏิเสธในการเป่า แต่ตำรวจควรพาไปตรวจเลือด ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ในที่เกิดเหตุ
สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและเคยมีมา ต้องยอมรับว่าเป็นช่องว่างช่วยคนรวย และเลือกปฏิบัติ แต่เมื่ออยากให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย ควรปฏิบัติอย่างเสมอภาค เพื่อลดความขัดแย้งในสังคม แต่กลายว่าได้ทำให้เห็นชัดมากขึ้นระหว่างคนจนกับคนรวย จนกลายเป็นความเหลื่อมล้ำ หากอยากให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ และลดอุบัติเหตุจริงๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่แต่งตั้งคนไม่มีความชำนาญมาทำหน้าที่ และควรมีองค์ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีให้เป็น
...
“ระบบการทำงานของตำรวจใช้คำสั่งเป็นหลัก ให้ปฏิบัติกันเอง ซึ่งควรฝึกฝนในการใช้อุปกรณ์ให้เป็นและถูกต้อง ไม่ใช่ให้รถหรูราคาแพง ถูกมองเป็นตั๋วผ่าน ทำให้หลักฐานต่างๆ ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนจนถูกตีตกไป จากแนวคิดของเจ้าหน้าที่ไม่เอื้อกับการใช้กฎหมาย และอยากสะท้อนว่าถ้าจะบังคับด้วยกฎหมายต้องทำแบบมืออาชีพ ถ้าหากไม่ต้องการถูกตั้งคำถาม ส่วนคนรวยก็จะหาช่องอยู่แล้ว เป็นพวกเอาเปรียบ ไม่ยอมรับความผิด จะต้องใช้กฎหมายกับคนในสังคมให้เหมือนกัน หากทำจริงๆ จะทำให้ตำรวจทำงานได้ง่ายขึ้น”.