• บทเรียนคดีน้องคิตตี้ วัย 14 ปี ถูกคนร้ายมีประวัติป่วยทางจิตแทงเสียชีวิต ต้นเหตุเคยใช้สารเสพติดกระตุ้นจนหลอน พบสังคมไทยมีอีกเพียบ กรมสุขภาพจิต เผย มีผู้ป่วยก่อเหตุรุนแรงซ้ำ 510 คน

  • หมอย้ำไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนก่อความรุนแรง แต่มีองค์ประกอบจากสภาพแวดล้อม ส่วนใหญ่คนร้ายก่อเหตุกับคนใกล้ตัวที่อ่อนแอกว่า บางรายให้ยาต่อเนื่องก็ก่อเหตุซ้ำได้

  • ผู้ป่วยทำผิดซ้ำ ต้องมีจิตแพทย์ช่วยตรวจคัดกรองก่อนเข้าเรือนจำ ให้มีการรักษาต่อเนื่อง โดยจัดเก็บประวัติการรักษาไว้ตรวจสอบ เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันการกระทำผิด

เหตุคนร้ายขับมอเตอร์ไซค์ติดตามน้องคิตตี้ วัย 14 ปี ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน แล้วฉวยโอกาสระหว่างรถจอด เข้าไปทำร้ายน้องบริเวณหน้าโรงเรียนจนเสียชีวิต เป็นอีกเหตุร้ายรายวันที่คนร้ายมีสภาพป่วยทางจิต เนื่องจากมีประวัติเคยใช้ยาเสพติด แม้เคยถูกจำคุกมาแล้ว แต่เมื่อออกมากลับไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่อง จึงกลับมาก่อเหตุเศร้าสลดซ้ำขึ้นอีก

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า มีผู้ป่วยจิตเวชก่อความรุนแรง 3,815 คน โดยก่อเหตุซ้ำ 510 คน ส่วนผู้ป่วยที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มได้รับโทษในเรือนจำ แล้วออกมาก่อเหตุซ้ำอย่างกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นกับน้องคิตตี้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ป่วยทุกรายจะมีพฤติกรรมรุนแรงอย่างที่เกิดขึ้น

“นพ.ปิยะวัฒน์ เด่นดำรงกุล” กรรมการสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคจิตเภทที่มีพฤติกรรมรุนแรงทำร้ายผู้อื่นเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น กรณีคนร้ายขับรถมอเตอร์ไซค์ติดตามน้องคิตตี้ วัย 14 ปี แล้วบุกขึ้นไปทำร้ายจนเสียชีวิตบริเวณหน้าโรงเรียน หากวิเคราะห์ทางการแพทย์ มีสาเหตุจากความผิดปกติทางจิต เนื่องจากคนร้ายมีประวัติใช้ยาเสพติด และขาดการทานยาระงับโรค

...

“ผู้ป่วยบางรายอาจมีการทานยา แต่มีสิ่งกระตุ้นทำให้ก่อเหตุ เช่น เดินไปในสถานที่หนึ่งแล้วไปเจอคนที่มีใบหน้าคล้ายคนที่ตนเองไม่ชอบ โดยคนร้ายมีความเชื่อว่า คนใบหน้าและท่าทางลักษณะดังกล่าวเหมือนกับคนที่กระทำไม่ดีกับตัวเองมาก่อน บวกกับสภาพจิตส่วนตัวที่มีโรคจิตเภท กระตุ้นทำให้ก่อความรุนแรงกับบุคคลอื่น”

โดยพฤติกรรมผู้ป่วยทางจิตที่ก่อเหตุทำร้ายผู้อื่น ส่วนใหญ่มีต้นเหตุดังนี้

  • หูแว่วเหมือนมีเสียงกระซิบตลอดเวลา โดยเสียงนั้นจะยุยงให้ทำร้ายผู้อื่น เมื่อขาดความยับยั้งชั่งใจ จึงก่อเหตุทำร้ายผู้อื่น โดยเลือกทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ชิด อาการป่วยที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความผิดปกติของสมอง หรือเกิดอุบัติเหตุกระทบสมองรุนแรง ขณะเดียวกันอาจมีต้นเหตุจากก้อนเนื้อผิดปกติบริเวณสมอง

  • อาการผู้ป่วยจิตเภทที่ก่อความรุนแรง แสดงออกได้ในทุกระดับของโรค เพราะปัจจัยสำคัญมาจากสภาพแวดล้อมของการก่อเหตุ โดยผู้ป่วยจะทำร้ายเหยื่อที่อ่อนแอกว่า และมักก่อเหตุขณะที่ไม่มีคนคอยปกป้องเหยื่อ

  • ผู้ป่วยมีการใช้สารกระตุ้น เช่น ยาเสพติด สุรา กัญชา ที่มีส่วนสำคัญกระตุ้นพฤติกรรมรุนแรง จนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ โดยเฉพาะสิ่งเสพติดผิดกฎหมาย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดอาการหลอนมากกว่าชนิดอื่น

ปัญหาผู้ป่วยโรคจิตเภทที่ก่อความรุนแรงเกิดจากการติดตามรักษาที่ไม่ต่อเนื่อง แต่บางกรณีมีความต่อเนื่อง แต่ผู้ป่วยก็ออกมาก่อเหตุทำร้ายผู้อื่นซ้ำ ตัวอย่างเช่น จิตรลดา มือมีดที่เคยทำร้ายเด็กนักเรียน แม้ญาติพยายามระวัง แต่เมื่อเผลอก็กลับไปก่อเหตุซ้ำ เนื่องจากสภาพแวดล้อม ที่เหยื่ออยู่เพียงลำพัง

สำหรับการแก้ปัญหาผู้ป่วยจิตเภท ต้องควบคุมดูแลไม่ให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดโอกาสทำร้ายผู้อื่นได้ ขณะเดียวกันต้องมีแนวทางไม่ให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียว ต้องมีการติดตามผู้ป่วยต่อเนื่อง เพื่อช่วยไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการกำเริบ

“อีกการป้องกันที่สำคัญ คนไข้ต้องไม่เข้าถึงสารเสพติด หรือกรณีผู้ป่วยกระทำผิดแล้วต้องติดอยู่ในเรือนจำ ควรมีกระบวนการรักษาที่เข้มข้น ดังนั้นทางเรือนจำควรมีนโยบายดูแลนักโทษที่ป่วยให้เกิดการรักษาต่อเนื่อง ที่ผ่านมามีหลายกรณี เมื่อผู้กระทำผิดเข้าไปอยู่ในเรือนจำ แพทย์ไม่สามารถทำการรักษาได้ เมื่อพ้นโทษแล้วจึงมีพฤติกรรมก่อเหตุซ้ำ”

กระบวนการช่วยเหลือไม่ให้กระทำผิดซ้ำ

...

“นพ.ปิยะวัฒน์” กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีคนร้ายก่อเหตุแล้วอ้างว่าเป็นโรคจิตเภท ทั้งที่ไม่ได้มีความผิดปกติ แต่แกล้งทำเพราะต้องการลดโทษ ดังนั้นการคัดกรองผู้ต้องหาด้านจิตเภท ต้องทำการคัดกรองอย่างละเอียดตั้งแต่แรกเข้า เพื่อประเมินต้นเหตุการกระทำผิด ว่ามาจากความผิดปกติของร่างกาย หรือมาจากความชั่วร้ายในจิตใจ

“ที่ผ่านมามีคำถามจากสังคม เมื่อคนร้ายระบุว่าตนเองมีปัญหาทางจิต ดังนั้นควรมีระบบคัดกรองผู้กระทำผิดอย่างเป็นระบบ เพราะไม่เช่นนั้นผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตจริง จะเสียโอกาสในการรักษา สุดท้ายก็ออกมากระทำผิดซ้ำ จนกลายเป็นภัยร้ายกับคนในสังคม ที่ผ่านมาผู้คัดกรองจะเป็นตำรวจ เลยทำให้กระบวนการคัดกรองยังมีปัญหา เพราะมีกำลังพลน้อย ขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ในการดูแลผู้กระทำผิดที่มีปัญหาสุขภาพจิต”

การที่ไม่มีนักจิตวิทยาเชี่ยวชาญในการคัดแยกผู้กระทำผิดที่ป่วยทางจิต เมื่อมีการกระทำผิดซ้ำ ต้องมาสังเกตพฤติกรรมการกระทำผิดใหม่ ทำให้เสียเวลา และขาดความชัดเจนของข้อมูลพื้นฐาน จนทำให้การบำบัดรักษาไม่มีประสิทธิภาพ

“โรคจิตเภท เสมือนรอยแผลที่มีอยู่เดิม ถ้าไม่รักษาให้หายดี พอไปเจอสภาพแวดล้อมที่กระตุ้น บาดแผลนั้นจะแสดงอาการอีกครั้ง โดยขณะนี้นักกฎหมายเริ่มสนใจผู้ป่วยทางจิตที่ก่อเหตุอาชญากรรมมากขึ้น เลยพยายามผลักดันกระบวนการทางกฎหมายที่ช่วยรักษาผู้กระทำผิดซ้ำ”

จึงฝากถึงประชาชนทั่วไป ไม่ให้เหมารวมผู้ที่มีความผิดปกติด้านจิตเภท เพราะผู้ป่วยหลายคนถูกกดดันจากสังคม ทั้งที่จริงไม่มีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นควรให้โอกาส และผลักดันมาตรการรักษาผู้กระทำผิดอย่างเหมาะสม เพื่อจะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต.

...


ผู้เขียน : ปักหมุด