- นี่คือเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายของคู่รักอยู่กินฉันสามีภรรยา เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันช่วงส่งท้ายปี ทำเอาอีกฝ่ายจุกอกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ว่าทำไม๊...ทำไมผัวรักถึงทำกับฉันได้ เรื่องแรกเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 25 ธ.ค. 2565 สามีอยู่กินกันมานาน 27 ปี จอดรถกระบะลงไปฉี่ในป่าริมทาง เสร็จกิจปุ๊บบึ่งรถออกไป ลืมเมียรักที่ลงไปฉี่ด้วย ท่ามกลางความมืดริมถนนสาย 304 ใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
- ทั้งโมโหและหวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูกและระหว่างทางไม่ได้มีเรื่องทะเลาะใดๆ หลังเดินทางมาด้วยกันจาก อ.บ่อวิน จ.ชลบุรี อีกทั้งมือถืออยู่ในกระเป๋าสะพายวางอยู่เบาะหน้ารถ จึงไม่สามารถติดต่อใครได้ ก่อนตัดสินใจเดินเท้าระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร มาถึงโรงพักกบินทร์บุรี ด้วยความโล่งใจ เพื่อให้ตำรวจช่วยเหลือ แต่เมื่อโทรเข้ามือถือของตัวเองกว่า 20 ครั้ง กลับไม่มีคนรับ
- หรือว่าจะต้องเอาสร้อยทองไปขาย เพื่อเป็นค่ารถกลับบ้าน จนช่วงสายฝ่ายสามี ผู้ไม่เคยสุงสิงกับใคร ขับรถมาถึง จ.นครราชสีมา มุ่งหน้าจะไป จ.มหาสารคาม ก็ยังไม่รู้ว่าลืมเมียไว้ริมทาง เพราะคิดว่านอนอยู่เบาะหลัง กระทั่งตัดสินใจรับสาย และรู้สึกผิดรีบขับรถกลับไปรับเมีย ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นทำเอาเมีย พูดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูก อาจจะเป็นหนึ่งในล้านที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ได้
...
- อีกเรื่องสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้กับผู้เป็นเมีย หลังมีพลเมืองดีเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ตั้งแต่ช่วงบ่าย 3 วันที่ 28 ธ.ค. 2565 อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 2178 พื้นที่บ้านคอนสาย ต.โนนโหนน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เมื่อตำรวจโรงพักวารินชำราบ ลงพื้นที่พบว่า เป็นสาวไทยใหญ่ อายุ 33 ปี ชาว อ.แม่จัน จ.เชียงราย กำลังตั้งท้องได้ 4 เดือน ถูกสามีชาวอุบลราชธานี ที่อยู่กินกันมานาน 5 ปี นำมาปล่อยทิ้งกลางทาง
- ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ฝ่ายหญิงต้องออกไปทำงานรับจ้างกรีดยางได้เงินวันละ 450 บาท นำมาใช้จ่ายภายในครอบครัวของฝ่ายชาย หลังพบรักกันที่ จ.เชียงราย และมาอยู่บ้านสามีใน อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ จากปัญหารัก 3 เส้า เมื่อประมาณ 3 อาทิตย์ก่อน เพราะอยู่ดีๆ สามีหันไปคบหากับผู้ชายด้วยกัน และพามาอยู่ในบ้าน นอนห้องเดียวกันทั้ง 3 คน
- ชายที่สามีพามาเรียกตัวเองว่าเป็นภรรยา จนมีปากเสียงกันเกิดขึ้น สุดท้ายหญิงสาวถูกทั้งคู่หลอกพานั่งรถ นำมาปล่อยทิ้งในตัวเมืองอุบลราชธานี และให้เงิน 50 บาท ด้วยความเจ็บช้ำ จึงเดินเท้าหวังเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปหาเพื่อน ตั้งแต่วัดป่าใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จนมาถึงบ้านคอนสาย ระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร โชคดีมีคนเข้ามาช่วยเหลือซื้ออาหารและน้ำให้ ก่อนประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้รับตัวไป พร้อมมอบเงินเป็นค่าเดินทาง และส่งขึ้นรถไฟไปยังกรุงเทพฯ ในช่วงหัวค่ำ
- ล่าสุดพ่อของฝ่ายชาย ออกมายอมรับว่าหญิงสาวดังกล่าวเป็นเมียของลูกชาย แต่เรื่องราวอื่นๆ ไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องโกหกที่ฝ่ายหญิงมโนเอาเอง โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ 4 เดือน เป็นไปไม่ได้ เพราะมาอยู่กับลูกชายเพียง 1 เดือน และหญิงสาวรายนี้ น่าจะเป็นคนต่างด้าว หลังมีอาการปวดท้อง ไม่มีเอกสารแสดงสิทธิ์สปสช.ในการรักษา จนหายไปจากบ้าน โดยไม่มีใครไล่ออกไป
เรื่องราวส่งท้ายปี มีความแตกต่างกันเพราะเรื่องหนึ่งเกิดจากความขี้ลืมของสามี ไม่ได้ตั้งใจ ส่วนอีกเรื่องเกิดจากตั้งใจจะทิ้งฝ่ายหญิงที่อยู่กันมา 5 ปี นำมาปล่อยทิ้งไว้ข้างทางราวกับหมาแมวทั้งๆ ที่ตั้งท้องได้ 4 เดือน แล้วไปอยู่กับชายอื่นที่ขอสวมบทภรรยาแทน ยิ่งสร้างความเจ็บปวดมากกว่า หรืออาจจะเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย เพราะไม่กล้าเผชิญหน้าในการพูดคุยความจริงในการจบสัมพันธ์ของชีวิตคู่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นแค่บางส่วนที่เป็นที่รับรู้ของคนในสังคม อาจมีเรื่องราวซับซ้อนมากกว่านี้ ไม่เป็นที่รับรู้ ยิ่งกว่านิยายในการใช้ชีวิตคู่ของหลายๆ คู่ในยุคปัจจุบัน ยังจมอยู่กับปัญหา ยากจะหาจุดลงตัวและจบความสัมพันธ์ด้วยความเข้าใจกันจริงๆ ในเรื่องนี้ "พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์" ผู้อํานวยการกองบริหารระบบบริการสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต มองว่า การใช้ชีวิตคู่ไม่มีคู่ไหน ไม่มีปัญหา หรือไม่เจอเรื่องขัดแย้ง แต่ในความขัดแย้งก็เป็นโอกาสในการทบทวน ทำความเข้าใจไปด้วยกัน
...
“ความผิดพลาดครั้งแรก กับเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ไม่เหมือนกัน หากเป็นความเผลอเรอ จนเกิดความผิดพลาด อย่างเคสสามีลืมภรรยา ซึ่งไม่ว่าสามีหรือภรรยา ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด และเมื่อผิดพลาด มี 2-3 อย่าง คือ ขอโทษ แก้ไข ไม่ทำซ้ำ เป็นสิ่งง่ายๆ ที่ควรทำในการขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ จะขอแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก และถ้าฝ่ายทำผิดพลาดขอโทษไปแล้ว อีกฝ่ายต้องให้อภัย ไม่เอาไฟความโกรธมาเผา เพราะได้ไม่คุ้มเสีย ต้องเรียนรู้จะอภัยให้กัน เป็นทางออกให้กลับมาเป็นครอบครัว”
ส่วนกรณีสามีตั้งใจทิ้งภรรยา นำไปปล่อยริมถนน เป็นเจตนาที่จะหยุดและยุติชีวิตคู่ โดยไม่ใช้การอธิบายถึงสาเหตุ จะทิ้งร่องรอยความสงสัย และความเสียใจให้กับฝ่ายหญิง ขณะเดียวกันได้สร้างความเครียดให้กับฝ่ายชาย ไม่น้อยกว่าความเสียใจที่ฝ่ายหญิงได้รับ แต่ใดๆ ก็ตาม หากจะยุติความสัมพันธ์ชีวิตคู่ ควรมาพูดคุยกัน แม้อาจจะดูหนักแต่จะไปได้ดีกว่า ไม่ควรทิ้งร่องรอยให้กับอีกฝ่าย จนเกิดความหนักอกอยู่ในใจ
การหลอกหรือมีเจตนาทิ้งฝ่ายหญิง มาจากความกลัว ไม่กล้าเผชิญหน้าของฝ่ายชาย จนปล่อยความจริงไว้ตรงนั้น น่าจะเป็นทางออกที่ไม่โอเค เป็นการหลีกหนีปัญหาของตัวเองด้วยความกลัว ปล่อยให้อีกคนที่ถูกทิ้งเผชิญหน้ากับความรู้สึกนั้น ทั้งความสงสัยและเสียใจ แต่สิ่งที่ฝ่ายชายกระทำจะทิ้งร่องรอยความรู้สึกผิดเช่นกัน กลายเป็นว่าเจ็บทั้งคู่ เพราะฉะนั้นหากจะยุติความสัมพันธ์ ต้องก้าวผ่านความกลัวว่ามีเหตุจำเป็นจะต้องเลิกกันอย่างไร
...
“หน้าที่ของสามี ภรรยา ไม่ใช่จะต้องฝืนตัวเอง แต่ต้องดูแลความรู้สึกตัวเองด้วย ต้องลุกขึ้นมาบอกว่ารู้สึกไม่โอเคกับเรื่องนี้ ก่อนจะจบความสัมพันธ์ จะต้องเผชิญหน้ากับความจริง เพราะจะยิ่งสร้างปัญหาไม่จบสิ้น และเกิดปัญหาซ้อน ซึ่งแน่นอนการแก้ปัญหาแรกอาจยาก ดีกว่าให้เกิดปัญหาที่สองจะยิ่งยากมากกว่า แม้ทางออกอาจไม่สวยงามก็ตาม หากมีปัญหาให้ค่อยๆ ทบทวน เพราะทุกอย่างมีทางออก และต่อให้ทั้งคู่เฉยเมยระหว่างกัน ก็มีความเจ็บปวดอยู่แล้ว จำเป็นจะต้องเลือกเพื่อเริ่มต้นใหม่ ควรรับมืออย่างรอบคอบ ไม่ควรกลบปัญหา จนกลายเป็นว่าทั้งคู่ไม่มีความสุข”.