การออกมายืนยันหนักแน่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ถึงการต้องจัดเก็บ "ภาษีขายหุ้น" เพื่อเป็นการสร้างความเสมอภาคในการจัดเก็บภาษีเหมือนกับคนที่ทำมาค้าขายทั่วไป และตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตอย่างมากจากในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งการเก็บภาษีขายหุ้นในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีการขายหุ้น มานานกว่า 40 ปี สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ภาครัฐเดินหน้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง หลังจากคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
โดยรูปแบบการเก็บจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น ในปีแรก คือปี 2566 จะเก็บในอัตราครึ่งเดียว ที่ 0.055% (รวมภาษีท้องถิ่น) และเก็บเต็มอัตราในปีถัดไป คือ ปี 2567 จะเก็บเต็มอัตรา ที่ 0.11% (รวมภาษีท้องถิ่น) ซึ่งยังต้องนำไปรวมกับ ค่าธรรมเนียมการขายหุ้นและภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ปีแรก อยู่ที่ 0.195% และปีถัดไปอยู่ที่ 0.22% ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนส่งให้กฤษฎีกาตรวจสอบความถูกต้อง หากประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะมีผล 90 วัน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะอยู่ในช่วงกลางปี 2566 โดยกระทรวงการคลังระบุว่า ยังมีเวลาให้นักลงทุนได้เตรียมตัว และจะไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาด
...
ขณะที่ฝั่งนักลงทุน โดยเฉพาะรายย่อย ก็แสดงจุดยืนชัดเจน ไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีขายหุ้น ถึงขั้นมีการนัดหมายหยุดการทำธุรกรรมซื้อขายหุ้น ในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อคัดค้านการจัดเก็บภาษีขายหุ้น
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO มีการแลกเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องนี้กับคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุน ซึ่งให้มุมมองต่อการเดินหน้าจัดเก็บภาษีการขายหุ้นไว้อย่างรอบด้านและน่าสนใจ
"ดร.นณริฏ พิศลยบุตร" นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ให้มุมมองต่อเรื่องนี้ว่า ในเชิงวิชาการของนักเศรษฐศาสตร์ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในฝั่งที่เห็นด้วย ก็มองเป็นเรื่องของการจัดเก็บภาษีเฉพาะที่งดเว้นมานานจากการที่รัฐอยากพัฒนาตลาดทุน และเป็นสิ่งที่ภาครัฐไปศึกษามาว่า หากจัดเก็บแล้วก็จะยังแข่งขันกับต่างประเทศได้ หลายๆ ประเทศมีการเก็บในอัตราที่ใกล้เคียงกันหรือสูงกว่า หรือบางประเทศหากไม่จัดเก็บ ก็มีภาษีในรูปแบบอื่น
แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน! หากเราอยากจัดเก็บภาษีขายหุ้น ต้องมองหลักการที่จะพัฒนาไปสู่เป้าหมาย เช่น การพัฒนาไปสู่การมีรัฐสวัสดิการ อยากเสรีแบบสหรัฐฯ แต่ถ้ารัฐต้องการรายได้จริงๆ ยังมีภาษีอีกหลายตัว ที่รัฐยังไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้า เช่น ภาษีที่ดิน ซึ่งยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่มาก เป็นตัวที่สำคัญที่รัฐควรจะทำ แต่กลับไปทำในสิ่งที่ง่ายก่อน
ตลาดทุนไม่ใช่ตลาดของคนรวยเสมอไป แต่เป็นตลาดแห่งโอกาส คนรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จ หรืออยากจะมีเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้ง่าย ทางออกที่เป็นไปได้ก็คือใช้ตลาดทุน ทำให้คนรุ่นใหม่เข้ามาลงทุนอย่างถูกต้อง เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับฐานะ เป็นที่ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ ไม่ควรปิดโอกาสและดึงเงินออกจากตลาดทุน ซึ่งการเก็บภาษีขายหุ้นจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เม็ดเงินไหลออกจากตลาดทุน เมื่อรัฐจะเก็บภาษีก็ต้องพูดถึงการนำไปใช้ ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนถึงคุณค่าที่จะเกิดขึ้น ว่าเก็บไปแล้วเอาไปทำอะไร
...
ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบกับ นโยบายของขวัญปีใหม่ ภาครัฐรีดเงินจากตลาดทุนไป 16,000 ล้านบาท เป็นเหมือนการนำเงินลงทุนในระยะยาว ไปกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ที่ผ่านมาจะเห็นว่าภาครัฐยังใช้ตลาดทุนไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนเพื่อเตรียมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ชีวิตหลังเกษียณ ตลาดทุนเป็นโอกาสที่จะทำให้คนที่ไม่มีฐานะ สามารถปรับสถานะทางการเงินได้ กลไกที่จะทำให้ประเทศอยู่รอด คือ การใช้ตลาดทุน
จากการประมาณการเก็บภาษีขายหุ้นให้ได้ 16,000 ล้านบาท "ดร.นณริฏ" มองว่า มีโอกาสที่รายได้จะต่ำกว่าเป้า เพราะเงินจากนักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่ม ไฮฟรีเควนซี ที่จะหายไปจากตลาดกว่า 30% เมื่อเราฟันธงว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย การจะเก็บภาษีขายหุ้นไม่ว่าจะเก็บในช่วงเวลาใดก็ไม่มีผลดีทั้งนั้น ยิ่งเก็บในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ได้ ยิ่งจะเป็นการซ้ำเติม ให้เศรษฐกิจแย่ลงไปอีก"
ขณะที่ นักลงทุนสายเน้นคุณค่า หรือสาย VI อย่าง "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ให้มุมมองในฐานะคนที่อยู่ในตลาด โดยเปรียบเทียบ การเก็บภาษีขายหุ้น เหมือนการเก็บเล็กเก็บน้อย เมื่อเก็บไปเรื่อยๆ ก็อาจจะหมดตัวได้
...
"ดร.นิเวศน์" นำนิทานเรื่อง ห่านทองคำ มาเล่าประกอบให้เห็นภาพ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตลาดทุนไทย เสมือนการเลี้ยงห่านธรรมดา ปลุกปั้นเลี้ยงดูจนวันหนึ่งห่านตัวนี้ออกไข่เป็นทองคำ มีค่ามหาศาล แต่ก็ไม่ทันใจ ไม่พอใช้จ่าย ก็หาวิธี เช่น ถอนขนห่านไปขายแต่ก็ไม่พอ ค่อยๆ หากินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจนตรอกก็ฆ่าห่านเพื่อจะเอาทองคำในท้องห่านไปขาย ก็ไม่ต่างกัน กับตลาดหุ้นไทย ที่ทุกวันนี้เป็นดารา ทุกประเทศอิจฉา มีสภาพคล่องที่น่าลงทุน มีต่างชาติมาลงทุน แต่ถ้าเรามองว่าการเก็บภาษีขายหุ้นในตลาดทุนเราเก็บไม่มาก แต่หากค่อยๆเก็บไปแล้วนานวันเข้า หากมีการเก็บภาษีอื่นๆ เพิ่มขึ้น ก็จะมีผลกระทบต่อการลงทุนและสภาพคล่องของตลาดได้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดทุนไทย เมื่อตลาดดี ก็มีคนอยากเอาหุ้นเข้าตลาด มีคนลงทุน ทุกอย่างโปร่งใส สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ฐานภาษีขนาดใหญ่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทส่วนใหญ่ก่อนเข้าตลาดธุรกิจชอบเลี่ยงภาษี แต่เมื่อเข้าตลาดหุ้นก็พร้อมจ่าย เพราะมีโอกาสโต มีเงินทุน ในทางกลับกัน ในช่วงที่ตลาดเหงา บริษัทดีๆ ก็อาจไม่เข้าตลาด และในอนาคตหากเก็บภาษีเพิ่มอีก เช่น ภาษีกำไรจากหุ้น กลายเป็นเสียภาษีเพิ่ม อาจทำให้ตลาดซบเซาลง จะยิ่งเสียหายหนัก ทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ อย่าไปคิดว่า เราไม่เทรดก็ไม่เดือดร้อน แต่สุดท้ายก็อาจมีผลกระทบเข้าสักวัน เพราะสภาพคล่องตลาดลดลง
...
ในตอนนี้ นักลงทุนไทยเอง ก็เริ่มหันไปลงทุนต่างประเทศ สิ่งที่หลายคนคิดคือ ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นจะลงทุนในอะไรที่จะงอกเงยพอ ที่จะอยู่จนเกษียณ ฝากเงินกับธนาคารก็ไม่คุ้มค่า เจอปัญหาเงินเฟ้อ เป็นเรื่องใหญ่ที่ยังไม่รู้จะแก้อย่างไร คนไทยเกษียณเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายเป็นภาระรัฐบาล สิ่งนี้ยิ่งทำให้รัฐบาล ต้องหันกลับมาสนับสนุนตลาดทุนให้มากขึ้น การเก็บภาษีขายหุ้นก็อาจได้ไม่คุ้มเสียและมีความเสี่ยงมหาศาล แค่รัฐบาลส่งสัญญาณ แสดงให้เห็นว่าจะเริ่มดำเนินการ ก็มีผลกระทบแล้ว แล้วถ้าต่อด้วยการเก็บภาษีอย่างอื่นเพิ่มก็อาจกระทบมากขึ้น
ขณะที่ "คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร" นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ฉายภาพให้เข้าใจถึงกลไกเรื่องตลาดหุ้น ตลาดทุน ซึ่งมีไว้เป็นแหล่งระดมทุน และ ณ วันนี้ เรามีตลาดทุน ที่กำลังทำหน้าที่ได้ดี เมื่อบริษัทสามารถเข้ามาในตลาดทุนได้ ก็จะลดการพึ่งพาธนาคารพาณิชย์ เป็นส่วนช่วยเสริมตลาดสินเชื่อ ตลาดการเงิน ทำให้เรามีเส้นเลือดเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมา การที่ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถเข้าตลาดหุ้นได้ ก็ต้องมีผู้ลงทุนที่เอาเงินมาให้ภาคธุรกิจถึงจะเกิดสภาพคล่อง และเรามีผู้ลงทุนค่อนข้างหลากหลาย ตลาดทุนที่มีสภาพคล่องสูง เป็นข้อดีที่จะสามารถระดมทุนให้ภาคธุรกิจได้ตามเม็ดเงินที่ต้องการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตือ จากเดิมปีที่แล้ว มีการซื้อขายระดับแสนล้านต่อวัน เหลือ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวัน การระดมทุนก็ซบเซา ธุรกิจก็จะหันไประดมทุนผ่านช่องทางอื่น ยิ่งทำให้สภาพคล่องเล็กลง
การเก็บภาษีขายหุ้นไม่ได้กระทบโดยตรงกับผู้ระดมทุน แต่กระทบโดยตรงกับผู้ลงทุน ทำให้สภาพคล่องตลาดลดลง มีต้นทุนในการเข้าลงทุนสูงขึ้น ต้องมองย้อนกลับไปว่า การที่ตลาดบ้านเรามีสภาพคล่องที่ดี ครึ่งหนึ่งมาจากนักลงทุนต่างชาติ ทำให้เรามีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียน การเก็บภาษีก็อาจทำให้สภาพคล่องหายไปครึ่งหนึ่ง เพราะภาษีจะสูงกว่าอัตราค่าธรรมเนียมที่นักลงทุนกลุ่มนี้เคยจ่ายในการซื้อขาย จากเดิมที่จ่ายค่าธรรมเนียม ประมาณ 0.03% วันนี้เรากำลังจะคิดภาษีขายหุ้นเพิ่ม ก็ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลงทุนเท่าเดิม และหากไม่คุ้มค่า ก็อาจจะย้ายไปลงทุนที่อื่น หากกลุ่มนี้ย้ายไปลงทุนที่อื่น ก็อาจทำให้มูลค่าการซื้อขายของตลาดลดลงไปอีก การที่บริษัทขนาดใหญ่จะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ ก็อาจทำให้บริษัทไทยย้ายไปลงในตลาดต่างประเทศที่มีสภาพคล่องสูงกว่า
“หากเขามองว่าไม่คุ้มค่า ย้ายการลงทุนไปแหล่งอื่น ก็อาจทำให้เราถอยไป 20 ปีที่แล้ว”
มีการสำรวจจากการพูดคุยโดยตรงกับนักลงทุนจากต่างประเทศ ว่ารับได้หรือไม่หากไทยเก็บภาษีขายหุ้น ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครอยู่ อาจจะไม่ไปทั้งหมด สิ่งที่น่าห่วงคือ เมื่อสภาพคล่องหดไป การจะเอากลับคืนมาได้ยากมากๆ “ไม่ต่างอะไรจากการ ยิงเท้าตัวเอง ให้เดินช้าลง” เรากำลังขึ้นภาษีด้วยคิดว่าจะเก็บภาษีเข้ารัฐได้ แต่ลืมมองไปถึงระยะไกล เรายังไม่ได้ถึงจุดสูงสุด มีแค่ 800 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาด จ่ายภาษี เข้ารัฐปีละกว่า 2 แสนล้านบาท หากมีการพัฒนาตลาดทุนให้ดี รัฐอาจจะเก็บภาษีได้มากขึ้น เป็นแหล่งระดมทุน นอกจากได้ภาษี ยังได้จีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้น อยากให้ภาครัฐมองมุมนี้ ถ้าสามารถพัฒนาตลาดทุนในบ้านเราให้ใหญ่ขึ้นได้อีก จะได้เป็นแหล่งทุนให้กับบริษัทที่เป็นธุรกิจใหม่ๆ โดยไม่ต้องดิ้นรนไปหาแหล่งทุนอื่น “มาตรการนี้จะทำให้เราถอยหลังไป และยากจะฟื้นกลับมา”
มีคำถามว่า คนอื่นเก็บได้ ทำไมเราเก็บไม่ได้ อย่างตลาดฮ่องกงที่ถูกหยิบมาเปรียบเทียบ เพราะมีการเก็บภาษีในลักษณะนี้ แต่ตลาดฮ่องกงไม่มีการเก็บภาษีตัวอื่น ขณะเดียวกันตลาดฮ่องกงเป็นตลาดที่พัฒนาแล้ว เป็นตลาดที่ไม่ง้อนักลงทุน ส่วนเราอยู่ในช่วงพัฒนาตลาดหุ้น เมื่อเราทำอะไรผิดแปลกไปนักลงทุนต่างชาติก็ไม่มาลงทุน ก็ย้ายไปลงทุนตลาดอื่นเพราะค่าธรรมเนียมต่ำกว่า
คู่แข่งที่แท้จริงของตลาดทุนไทยคือใคร?
หากจะเปรียบเทียบ เราต้องแข่งกับสิงคโปร์ ซึ่งวันนี้ไม่ได้เก็บภาษีการขายหุ้น เรากำลังแข่งกับเขาอยู่ ต้องถามว่า เรามีอะไรไปสู้? สิ่งที่ตลาดสิงคโปร์ขาดคือ สภาพคล่อง แต่เรามี เรากำลังเอาจุดขายของเราไปมอบให้คนอื่น สิงคโปร์ก็หวังสภาพคล่องจากต่างชาติให้เข้าไปลงทุน ถ้าครึ่งหนึ่งที่เป็นนักลงทุนต่างชาติเคยลงทุนในตลาดบ้านเราย้ายไป สภาพคล่องเขาจะสูงขึ้นมาทันที
รัฐบาลสามารถใช้ตลาดทุนเป็นกลไกในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตได้ การประมาณการว่าจะเก็บภาษีจากการขายหุ้นได้กว่า 16,000 ล้านบาท ก็อาจเป็นไปไม่ได้ และอาจทำให้สภาพคล่องของตลาดไม่ดี คนก็ไม่อยากเทรด ก็จะยิ่งทำให้สภาพคล่องไม่ดีขึ้นไปอีก และทำให้การเทรดยากขึ้นตามไปด้วย
"คุณไพบูลย์" ทิ้งท้ายว่า การเก็บภาษีขายหุ้น เป็นสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสีย ตลาดทุนเป็นเครื่องมือหลักจำเป็นในการทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัว ทำให้เราหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง เป็นสิ่งที่จะทำให้เราต่อสู้กับสังคมสูงวัย ตลาดทุนจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยให้รัฐบาลไปสู่จุดหมายที่จะต้องไป ถ้าวันนี้ยังดื้อแพ่งจะเก็บภาษีนี้ สิ่งที่ภาครัฐจะได้ถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อแลกกับสิ่งที่จะตามมาคือผลกระทบด้านลบในอนาคต ถ้าตลาดทุนทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ จะทำให้การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจในอนาคตทำได้ยาก.
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ
ร่ำรวยจาก? เจาะคดี แยม ธมลพรรณ์ แรงจูงใจ-ทรัพย์สินที่ถูกซุกซ่อน
ข้อสันนิษฐาน เรือหลวงสุโขทัยอับปาง
ความสัมพันธ์ "ไม่ผูกมัด" รสนิยมทางเพศเปิดกว้างของคนยุคดิจิทัล