- เหตุปล้นร้านทองกลางเมืองตาก เมื่อ 4 คนร้ายพร้อมอาวุธครบมือ มีประวัติเคยปล้นร้านทองในพื้นที่อ.พบพระ เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2565 กวาดทองไปได้ 108 บาท เงินสดอีก 1 แสนบาท ก่อนมาก่อเหตุอุกอาจอีกครั้ง ใช้ปืนเก็บเสียงยิงกระจกหน้าร้านทองแตกกระจาย
- ก่อนบุกเข้ามาใช้เครื่องเจียตัดเหล็กลูกกรงตู้ทอง แต่ถูกเจ้าของร้านทอง ใช้ปืนลูกซองไล่ยิงจนกลุ่มคนร้ายหนีเตลิดออกไปด้านนอกร้าน ทำให้ 1 ในคนร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะกำลังสตาร์ตมอเตอร์ไซค์หลบหนี และอีก 1 คนซ่อนตัวในป่าละเมาะถูกตำรวจจับกุมตัวได้ ส่วน 2 คนหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
- กล้องวงจรปิดเห็นภาพชัดขณะกลุ่มคนร้ายกำลังก่อเหตุ ขับขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกันมา 2 คัน ก่อนบุกเข้ามาในร้านห้างทองเยาวราช ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนตากพิทยาคม ต.ระแหง อ.เมือง จ.ตาก และหน้าร้านทองเต็มไปด้วยร้านค้า มีผู้คนพลุกพล่าน โดยชายเจ้าของร้าน เมื่อเห็นคนร้ายถืออาวุธปืนบุกเข้ามา จึงรีบบอกให้ภรรยาหลบหนีไปหลังร้าน
- จากนั้นได้รวบรวมสติเข้าไปหลบในกำบัง ใช้ปืนลูกซองยาวกึ่งอัตโนมัติ Benelli M4 ยิงขึ้นฟ้าขู่ไป 1 นัด และยิงในท่าประทับเอว 2 นัด เพื่อไล่คนร้าย แต่เมื่อเห็นคนร้ายหันปืนมาจากข้างนอกร้าน จึงยิงในท่าประทับเอวอีกครั้งในมุมต่ำ อีก 1 นัด จากที่เคยฝึกอบรมยิงปืน ได้ใช้หลักการใช้อาวุธปืน เพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน เพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นหากคนร้ายสามารถบุกเข้ามาประชิดตัว
- แม้คนร้ายไม่ได้ทองไป แต่ 1 ในคนร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ชายเจ้าของร้านทองมีความกังวลจะถูกดำเนินคดีป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ แต่ก็ยังคิดว่าการยิงในลักษณะนี้ถูกต้องแล้ว และต่อมาได้มีบรรดาทนายความออกมาแสดงความเห็นมองว่า เป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด และจากหลักฐานภาพวงจรปิดคนร้ายยิงปืนใส่ร้านทอง ถือว่าภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายยังมีอยู่ สามารถยิงป้องกันได้ ไม่ผิดกฎหมาย
- แต่ก็มีบางส่วนมองว่า เจ้าของร้านทองอาจป้องกันตัวเกินสมควรกว่าเหตุ เพราะคนร้ายวิ่งหนีออกนอกร้านไปแล้ว และไม่ได้ทองไป ซึ่งก็ได้มีข้อโต้แย้งว่าขณะคนร้ายวิ่งหนีออกไปนอกร้านได้เล็งปืนพยายามจะยิงต่อสู้ กระทั่งหลบหนีไป ถือว่าเจ้าของร้านทองป้องกันตัวโดยชอบธรรม ไม่เกินกว่าเหตุแต่อย่างใด
...
กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันไม่จบในด้านข้อกฎหมาย แต่ในความเห็นของ “มนตรี ตันใจซื่อ” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืน มองว่า กรณีที่เกิดขึ้นค่อนข้างก้ำกึ่งเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ หรือพอสมควรแก่เหตุ เพราะคนร้ายที่เข้ามาในร้านทองมีอาวุธปืน แต่การที่เจ้าของร้านทองยิงออกไปนอกร้าน ได้มีประชาชนถ่ายคลิปภายนอกร้านเห็นคนร้ายยกปืนเหมือนจะต่อสู้ ซึ่งประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับศาลพิจารณาจะเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ ภายหลังคนร้ายหนีออกไป และมีการยิงซ้ำออกไปนอกร้าน
“ในมุมของคนใช้ปืนมองว่าเคสนี้สมควรยิง เพราะคนร้ายเข้ามาในลักษณะจู่โจม มีการยิงกระจกร้าน มีการคุมเชิง และตัดลูกกรง ถือว่าอุกอาจมาก แม้หลักในการยิงปืนเพื่อหยุดยั้งภัยคุกคาม จะต้องยิงขา แต่คนร้ายทั้ง 4 คนมีปืน หากเป็นตัวเองก็ต้องยิงแบบนี้ ถือว่าตัดสินใจดีแล้ว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก การยิงที่ขาค่อนข้างหยุดได้ยากเหมือนกัน หรือบางกรณีแม้ยิงไม่โดนจุดสำคัญ แต่ยิงไป 5 นัด ก็ไม่สามารถหยุดได้ ยิ่งเป็นปืนสั้น มีโอกาสหยุดยั้งได้น้อยมาก”
อีกทั้งชนิดของปืนที่เจ้าของร้านทอง นำมาใช้ป้องกันตัวถือว่าเลือกได้ถูกวัตถุประสงค์มากๆ เพราะปืนลูกซองมีความสมบูรณ์ในการนำมาใช้เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ขณะที่คนร้ายเข้ามาพร้อมกันหลายคน สามารถยิงได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น ไม่เกิน 25-30 เมตร หากยิ่งยิงใกล้ก็จะสามารถหยุดยั้งได้ แต่หากยิงไกลความเร็วของกระสุนจะลดลง
จากที่ดูในคลิปเหมือนว่าเจ้าของร้านทองยิงปืนในท่าที่ไม่ถนัด แทบไม่สามารถยิงในท่าประทับบ่าได้ ถือว่าอันตรายมาก หากคนร้ายยิงปืนสวนมา แต่หากตั้งใจยิงจริงๆ ให้โดนคนร้าย คิดว่าระยะแค่นี้สำหรับปืนลูกซองสามารถทำให้คนร้ายที่อยู่ในร้านเสียชีวิตได้ ต้องดูว่าตั้งใจให้คนร้ายเสียชีวิตหรือไม่ ในสถานการณ์ที่คับขันและเร็วมาก
ส่วนปืนที่คนร้ายนำมาก่อเหตุสงสัยว่าเอาปืนเก็บเสียงมาใช้ได้อย่างไร น่าเป็นความตั้งใจและเจตนาของคนร้ายต้องการให้เสียงเงียบ ไม่ให้ภายนอกได้ยิน และหากใช้กระสุนปืนขนาด 9 มม. ก็จะเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นการก่อเหตุที่อุกอาจมากๆ ซึ่งการยิงปืนขู่ของเจ้าของร้านทอง เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามในมุมของคนเล่นปืนเป็นการตัดสินใจค่อนข้างถูกต้อง เพราะหากคนร้ายยิงสวนมา อาจทำให้คนในร้านทองเป็นอันตรายได้
...
“กฎหมายบ้านเรามองอาวุธปืนทุกชนิดมีความร้ายแรงไปหมด จนหลายคนไม่เข้าใจว่าปืนลูกซองมีความเหมาะสมในการนำมาใช้ป้องกันตัว เพราะกระสุนไปได้ไม่ไกล สามารถหยุดยั้งได้ดีกว่าการใช้กระสุนปืนขนาด 9 มม. หรือขนาด .38 มม. อีกอย่างปืนลูกซอง หรือปืนลูกซองกึ่งอัตโนมัติ สามารถครอบครองได้ง่ายกว่า แค่มีกระสุนลูกปรายก็ใช้ได้ ทำให้คนนิยมใช้ป้องกันตัว”.