กลายเป็นดราม่าเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเมื่อโรงเรียนดังแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี จัดอบรมค่ายธรรมะให้กับนักเรียนชั้นม.5 มีการส่งหนังสือขออนุญาตจากผู้ปกครอง และแจ้งว่าหากนักเรียนไม่เข้าจะถูกหัก 5 คะแนน แต่ต่อมาได้แจ้งยกเลิกการหักคะแนน
การอบรมค่ายธรรมะโดยปกติในโรงเรียนทั่วๆ ไป ก็น่าเป็นสิ่งที่ดีในการขัดเกลาเด็กนักเรียนโดยการใช้พุทธศาสนา แต่เมื่อเด็กนักเรียน ม.5 ซึ่งล้วนแล้วเป็นเด็กโต กลับต้องมาเจอสิ่งที่สร้างความงงงวยและอึ้งไปชั่วขณะ เพราะไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนเป็นการอบรมลัทธิอนุตตรธรรม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา มีการบรรยายเกี่ยวกับความตาย ซ้ำให้ทำพิธีกรรมประหลาดๆ ให้เขียนชื่อบนกระดาษซึ่งเป็นพาสปอร์ตขึ้นสวรรค์ แล้วนำไปเผาเป็นการลบชื่อออกจากบัญชีของยมทูต เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์
ระหว่างการทำพิธีมีการปิดม่านปิดประตูไม่ให้ออกและให้นักเรียนคุกเข่า ท่องคาถา ”อู๋ ไท่ ฝอ หมี เล่อ” หมอบกราบไหว้โต๊ะบูชาที่อยู่ข้างหน้า จนนักเรียนหลายคนรู้สึกหวาดกลัว และบางคนร้องไห้ออกมา พร้อมห้ามไม่ให้บอกใคร อ้างว่าเป็นความลับของสวรรค์ ก่อนมีการเกลี้ยกล่อมให้หลับตาลงแล้วจิ้มไปที่หน้าผาก และมีการขอที่อยู่หรืออีเมล อ้างว่าจะดูแลคุ้มครองคนในครอบครัว
...
ดราม่าที่เกิดขึ้น ”ดุริยะ จันทร์ประจำ” ผู้อำนวยการโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ชี้แจงว่าเป็นวิชาศาสนา กำลังให้ทางชมรมผู้ปกครอง รอง ผอ.ฝ่ายวิชาการ และครูสาระสังคม คุยกับผู้จัด หากไม่ดีก็จะยกเลิก ส่วนประเด็นในทวิตเตอร์ จะใช้กระบวนการภายในโรงเรียน พูดคุยกับเด็กนักเรียน แก้ปัญหาเป็นจุดๆ และจะตั้งคณะกรรมการสอบว่าใครนำกิจกรรมลัทธิอนุตตรธรรมมาสอนเด็ก เพราะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนที่ทำให้เด็กนักเรียนกลัว หรือผู้ปกครองไม่สบายใจ
ในฝั่งของ ”ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน” ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบุว่า ลัทธิอนุตตรธรรม มาจากไต้หวัน เป็นนิกายมหายานผสมผสานกันหลายอย่าง เริ่มเข้ามาในสังคมไทยมานานประมาณปี 2540 แต่ไม่ได้รับการยอมรับ โดยคนก่อตั้งเป็นผู้หญิง อวดอ้างต่างๆ นานา เพื่อให้คนเชื่อถือ เช่นเดียวกับลัทธิโยเร และลัทธิโซกะกาไก ซึ่งมาจากญี่ปุ่น ได้กระจายตามพื้นที่ต่างๆ ทั้งภาคใต้ เหนือ และอีสาน เพื่อชักชวนคนมาทำกิจกรรมในเรื่องนรก สวรรค์
“เมื่อพ่อแม่เข้าไป ก็ชักชวนลูกเข้าไปด้วย พยายามให้คนยอมรับโดยการอวดอ้าง เป็นขบวนการใหม่ทางศาสนาที่เข้ามาในปัจจุบัน มีความเคลื่อนไหว เชิญชวนคนให้เข้ากลุ่ม อ้างเป็นพุทธเต๋า นิกายมหายาน และอาจเพี้ยนไปบ้าง เพราะผสมผสานความคิดของผู้ก่อตั้ง และวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นๆ เข้าไปด้วย เป็นลัทธิที่ไม่น่ากลัว แต่สังคมบ้านเราถ้าเห็นอะไรแปลกๆ ก็มองว่าน่ากลัว”
ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ไม่ควรนำลัทธิอนุตตรธรรมเข้าไป แม้ไม่ถึงกับทำลายความมั่นคง แต่อาจมีลักษณะงมงายขัดตามหลักศาสนา ไม่ควรนำมาเป็นกิจกรรมในโรงเรียน และไม่ควรบังคับให้นักเรียนเข้าร่วม ซึ่งการที่ลัทธินี้เข้าไปในโรงเรียนได้คงมีคอนเนกชันกับคนในโรงเรียน เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว
ในส่วนกิจกรรมของลัทธิอนุตตรธรรม มีการทำกิจกรรมอยู่ในพื้นที่ทั่วๆ ไปมาหลายปีแล้ว มีการออกหนังสือเรื่องคำสอน และตั้งสำนักในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเชิญชวนคนเข้าไปสัมผัส ซึ่งไม่ถึงขั้นน่ากลัว เพราะมีการส่งเสริมในด้านครอบครัวและศาสนา แต่ค่อนข้างงมงาย
เรื่องของการนับถือลัทธิใดก็ตาม อยากให้มองเป็นอันแรกว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของผู้ใหญ่ อย่าดึงเด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้อง และนำเข้าไปในระบบการเรียนการสอน โดยเฉพาะในโรงเรียน และมีการบังคับ ซึ่งไม่ควรทำ เพราะสิ่งที่โรงเรียนควรทำจะต้องสอนเด็กให้มีความคิดและรู้จักตั้งคำถาม
“หรืออยากให้เด็กมีศีลธรรม ไม่ต้องเอาเรื่องนรก สวรรค์ไปล่อ เพราะขณะนี้เด็กเยาวชนไทย มีความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเอาลัทธิใดเข้ามา ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่เด็กอาจพิจารณาจากความสมเหตุสมผล ความมีเหตุมีผลว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ คิดว่าเด็กม.5 ม.6 ในปัจจุบันน่าจะมีความคิดพอสมควร ถ้าเป็นระดับม.ต้น อาจยังไม่พอ เนื่องจากยังไม่มีวุฒิภาวะ”.
...