ประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก 2022 จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เริ่มหารือวันแรก 18 พ.ย. มีฉันทามติร่วมขับเคลื่อน BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ตามที่ประเทศไทยนำเสนอโมเดล รวมทั้งเห็นพ้องขับเคลื่อนความร่วมมือเศรษฐกิจเอเปก ไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีต่อในอนาคต พร้อมพิจารณาหัวข้อหลัก "เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล" (Open. Connect. Balance.) ก่อนจะมีการประชุมในวันที่ 19 พ.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้าย

ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของม็อบกลุ่ม “ราษฎรหยุดเอเปค 2022” ออกมาเรียกร้องจะยื่นหนังสือถึงผู้นำชาติต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุมเอเปก และพยายามจะนำมวลชนจากลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการ กทม. มุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดการประชุม จนเกิดการเผชิญหน้าปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนที่ใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง บริเวณถนนดินสอ ก่อนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บบางส่วน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกมาย้ำขอให้ม็อบคำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศ ไม่อยากให้ซ้ำรอยเหมือนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน จัดขึ้นที่พัทยา เมื่อปี 2552 หวังว่าการเคลื่อนไหวของม็อบจะเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น กระทั่งเกิดการปะทะระหว่าง 2 ฝ่าย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุมีความจำเป็นต้องใช้กำลังป้องกันตนเองตามยุทธวิธี และได้จับกุมผู้กระทำความผิดที่ฝ่าฝืนเงื่อนไข กระทำความผิดตามกฎหมาย

...

ข้อเรียกร้องของกลุ่ม “ราษฎรหยุดเอเปค 2022” ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกเลิกนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG รวมถึงระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อ้างว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนชั้นนำในประเทศ สร้างผลกระทบมหาศาลให้กับประชาชนไทยและประชาคมโลกในอนาคต พร้อมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุติบทบาทการเป็นประธานประชุมเอเปก เพราะไม่มีความชอบธรรม เพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชน และต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภา เปิดทางให้มีการเลือกตั้ง และร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน

จากข้อเรียกร้องของม็อบ อาจไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ เช่นเดียวกับที่ผ่านมา หรือจะใช้โอกาสในการประชุมเอเปก 2022 แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ให้โลกเห็น หรืออย่างน้อยให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ในเรื่องนี้ “รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส” คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก มองว่า ในการประชุมระดับนานาชาติ ถ้ามีผู้นำหลากหลายประเทศเดินทางมา และมีการชุมนุมประท้วงยื่นข้อเรียกร้องถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียภาพลักษณ์ แต่เป็นโอกาสให้คนในภูมิภาคได้แสดงออก เพื่อให้ผู้นำโลกรับรู้ ซึ่งการแสดงออกจะส่งผลสะเทือนไปสู่การแก้ไขปรับปรุง อาจกดดันให้เกิดแก้ไขในระดับประเทศและในระดับโลก อย่างประชุมองค์การการค้าโลก จะมีคนออกมาชุมนุม ไม่ได้ทำให้เสียภาพลักษณ์ แต่เป็นการแสดงออกให้โลกรับรู้

ส่วนข้อเรียกร้องของม็อบในการประชุมเอเปก 2022 จะได้รับการตอบสนองหรือไม่ จะเห็นว่าการเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ยุติบทบาทการเป็นประธานประชุมเอเปก เป็นข้อเสนอไม่เมคเซนส์ ไม่สมเหตุสมผล เพราะต้องมีเจ้าภาพในการจัดการประชุม และ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเป็นประธานอยู่แล้ว คิดว่าข้อเรียกร้องนี้ทางม็อบก็ไม่ได้คาดหวัง แต่เป็นการแสดงออกให้เห็นว่าคนในชาติไม่ยอมรับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะมาจากการรัฐประหาร ไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย

ขณะที่ข้อเรียกร้องให้ยกเลิก BCG และให้ยุบสภา หากเอาเข้าจริงๆ 2 ข้อนี้ไม่ใช่ประเด็นสากล แต่เป็นประเด็นภายในประเทศของเรา เพราะ เอเปก เป็นการประชุมระดับนานาชาติ หากต้องการจะส่งสารไปยังนานาชาติจะต้องเป็นประเด็นที่สตรอง เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งบรรดาชาติตะวันตกให้ความสำคัญ และการขับเคลื่อน BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ในปีหน้า เป็นเรื่องภายในประเทศเช่นกัน

“ข้อเรียกร้องในเรื่องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก็เป็นเรื่องในประเทศ ทำให้การส่งสารไปยังผู้นำประเทศต่างๆ ค่อนข้างแตกกระจายมากๆ หากต้องการเสนอประเด็นสู่นานาชาติ จะต้องเป็นประเด็นสากลและต้องสตรอง อย่างเช่น มาตรา 112 มีผู้ถูกดำเนินคดีลงโทษจำคุก เป็นประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชน หากยกเรื่องเด่นๆ ไปยังทั่วโลก การตอบรับก็จะชัดเจน ไม่ใช่เรียกร้องเรื่องรัฐธรรมนูญ และยุบสภา จนต่างชาติงง ถือว่าข้อเสนอทั้ง 3 ข้อของม็อบต่อนานาชาติ ไม่สตรองพอที่ผู้นำต่างชาติจะรับลูก หรือยื่นจมูกเข้ามาได้”

เมื่อกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นภายในประเทศ มีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วจากสิ่งที่ตำรวจทำกับม็อบ และรัฐบาลไม่สนใจข้อเรียกร้องของม็อบ เหมือนสายลมที่พัดผ่าน อาจมองไม่เห็นกับเสียงที่ออกมาต่อต้านที่เหมือนเป็นเสียงนกเสียงกา มองเป็นเรื่องของความสงบราบคาบที่ทุกคนต้องทำตาม แต่หากม็อบยื่นข้อเรียกร้องอย่างเรื่องสิทธิมนุษยชน เหมือนประเด็นซินเจียงอุยกูร์ในประเทศจีน ซึ่งชาติตะวันออกไม่โอเคในเรื่องนี้ จะต้องเอาไปเล่นต่อว่ามีการละเมิดตรงนี้อยู่

...

จากข้อเรียกร้องของม็อบ น่าจะต้องการส่งเสียงสะท้อนให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทย แต่หากส่งสารที่เป็นวัน วอยซ์ (One Voice) เป็นซิงเกิล เมสเสจ (Single Message) ต้องแบบชอตเดียวในทิศทางเดียวกันก็จะได้รับการตอบสนองจากต่างชาติ แม้รัฐบาลไทยไม่ตอบสนองก็ตาม หรืออย่าง คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ก็ออกมารับลูกทันที กรณีเกาหลีเหนือทดลองยิงขีปนาวุธ ซึ่งเป็นการส่งสารแบบสากล หรือประเด็นที่ส่งผลต่อมวลมนุษยชาติ จะได้รับการตอบสนอง

“อาจไม่มีการประชุมระดับนานาชาติมานาน อาจทำให้ม็อบต้องรวบประเด็นเข้าไป แต่ในแง่กลยุทธ์ไม่ได้ทำให้ต่างชาติหันมามอง เหมือนกับฟาล์วไปเลย เพราะกระแสตอบรับไม่มี และการออกมาเคลื่อนไหวของม็อบในต่างประเทศ หลายประเทศก็ต้องการความสงบ ไม่ต้องการให้ม็อบออกมาก็มักใช้ความรุนแรง แต่หากไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอย่างนี้ ก็ควรปล่อยให้มีการแสดงไปเลย ไม่ควรทำร้ายม็อบเหมือนบ้านเรา จนเป็นข่าวใหญ่ในเชิงลบ เสียภาพลักษณ์ต่อรัฐบาลจริงๆ เพราะถ้าไม่ทำรุนแรง ไม่กีดกันม็อบก็ไม่มีอะไร”.

...