"1,600 ล้านบาท" เป็นตัวเลขกรอบวงเงินที่ "การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท." ได้ส่งถึง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เพื่อขอเงินสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ  หรือ กทปส. เพื่อใช้ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด “ฟุตบอลโลก 2022” รอบสุดท้าย ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน - 18 ธันวาคมนี้ ที่ประเทศกาตาร์ นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การขอสนับสนุนเงินจำนวนมหาศาลนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากกองทุน กทปส. มีไว้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม รวมถึงการพัฒนาบุคลากร การคุ้มครองผู้บริโภค การดำเนินการให้ประชาชนได้รับการบริการอย่างทั่วถึง

“ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์” ตรวจสอบข้อมูลการจัดซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในอดีต ย้อนหลังไปเกือบ 20 ปี พบว่า ในช่วงเริ่มต้นมี โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) หรือทีวีพูล ถือเป็นรายแรกและรายเดียวที่มีการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกเข้ามาถ่ายทอดสดให้คนไทยได้รับชม โดยในขณะนั้นจะเป็นการถ่ายทอดให้ได้รับชมเฉพาะคู่สำคัญๆ เช่น คู่ชิงชนะเลิศ โดยถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ในขณะนั้น แต่ไม่ปรากฏมูลค่าที่ทีวีพูลใช้ในการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไร? กระทั่งในปี ค.ศ.1990 ฟุตบอลโลกที่อิตาลี มีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญ โดยจัดให้มีการถ่ายทอดสดครบทุกคู่ในการแข่งขัน

...

ในปี ค.ศ.2002 “ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 17” ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เมื่อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกที่ถูกผูกขาดกับทีวีพูลมานาน ถูกเปลี่ยนมือให้กับ บริษัท ทศภาค คอมมูนิเคชั่น เอเยนซี่ จำกัด ซึ่งสามารถชิงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลกในประเทศไทยเพียงเจ้าเดียวมาได้

นอกจากนี้ บริษัท ทศภาค ยังได้เจรจา ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอด “ฟุตบอลโลก 2006 ครั้งที่ 18” ที่เยอรมนี ซึ่งถือเป็นการได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดถึง 2 สมัย รวมมูลค่าในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2 ครั้ง เป็นเงิน 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 337.5 ล้านบาท และเป็นการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกโดยไม่มีโฆษณาคั่นระหว่างการถ่ายทอดสด

“ฟุตบอลโลก 2010 ครั้งที่ 19” ที่แอฟริกาใต้ ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในไทยถูกเปลี่ยนมืออีกครั้ง โดย บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดในประเทศไทยเพียงผู้เดียว ซึ่งทางบริษัทฯ ไม่มีการเปิดเผยมูลค่าในการซื้อลิขสิทธิ์ในครั้งนั้น แต่มีการระดมทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจยักษ์ใหญ่ 4 ราย กว่า 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขัน

“ฟุตบอลโลก 2014 ครั้งที่ 20” ที่บราซิล ยังคงเป็น บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ที่ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดแบบแพ็กคู่ ต่อเนื่องจากฟุตบอลโลกครั้งก่อน

แต่ในครั้งนี้เกิดประเด็นปัญหาขึ้นหลังจาก กสทช.ออกประกาศหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่เผยแพร่ ที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 หรือ “กฎมัสต์แฮฟ (Must Have)” เพื่อให้คนไทยมีโอกาสได้รับชมกีฬาที่อยู่ในความสนใจอย่างเท่าเทียม 7 รายการ คือ โอลิมปิก เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ อาเซียนพาราเกมส์ เอเชียนพาราเกมส์ พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลก

ซึ่งเป็นประกาศที่ออกมาหลังเกิดกรณีกับ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2012 และเกิดปรากฏการณ์ “จอดำ” บล็อกสัญญาณ ทำให้เครื่องรับโทรทัศน์บางประเภทไม่สามารถรับชมการแข่งขันได้

 “กฎมัสต์แฮฟ (Must Have)” ทำให้ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ถูกบังคับให้ต้องถ่ายทอดสดการแข่งขันทั้ง 64 นัด ผ่านทางฟรีทีวี นำไปสู่การฟ้องศาลปกครอง

...

โดยศาลเห็นว่า อาร์เอส ได้เซ็นสัญญากับเจ้าของลิขสิทธิ์ตั้งแต่ 12 กันยายน 2548 เป็นการเซ็นสัญญารวบยอดนับตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 2010 แต่ประกาศ กสทช.มีผลบังคับใช้เมื่อ 4 มกราคม 2556 จึงมองว่า กฎ Must Have ไม่ควรมีผลย้อนหลัง จนที่สุดศาลปกครองพิพากษาว่า ประกาศของ กสทช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทบต่อสิทธิ์ของผู้ได้รับลิขสิทธิ์ และต้องชดใช้เงินให้กับ บริษัท อาร์เอส เป็นเงินกว่า 427 ล้านบาท

“ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งที่ 21” ที่รัชเซีย มีการลงขันของเอกชน 9 ราย ได้แก่ ซีพี ไทยเบฟ บีทีเอส คิง เพาเวอร์ กัลฟ์ กสิกรไทย พีทีทีจีซี บางจาก และคาราบาวแดง เพื่อระดมทุนซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอด โดยในครั้งนั้นจ่ายค่าลิขสิทธิ์ไปกว่า 1,141 ล้านบาท

จากข้อมูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกย้อนหลัง จะเห็นว่า ตัวเลข "1,600 ล้านบาท" ตามที่ กกท.ขอรับการสนับสนุนเงินจาก กสทช. นับเป็น "ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกที่แพงสุดที่ไทยเราเคยซื้อมา" แม้ล่าสุด กสทช.จะมีมติโดยเสียงข้างมาก อนุมัติเงินกองทุน กทปส. 600 ล้านบาท ให้คนไทยได้ชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ทั้ง 64 นัด ผ่านฟรีทีวีทุกแพลตฟอร์ม ก็พอทำให้คอฟุตบอลชาวไทยโล่งใจไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังคงต้องลุ้นต่อว่า กกท.จะหาเม็ดเงินอีกกว่า 1,000 ล้านบาทมาจากไหน ให้พอซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกมาให้คนไทยได้รับชม.

...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ศึกวัดชะตา โจ ไบเดนและโดนัลด์ ทรัมป์

รวยอู้ฟู่! เบื้องหลังนักบุญคนบาป ช่องโหว่กฎหมาย รับบริจาคช่วยหมาแมว

จันทรุปราคาเต็มดวง วันลอยกระทง กับทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์ โลก แสงสีแดง

ทุนจีนบุก หน่อเนื้ออดีตระดับ “บิ๊ก” ช่วยขยายธุรกิจ ผับ บาร์ ยา บ่อน