เหตุจ่าปืนโหดรัวยิงคู่อริในผับ จ.ตรัง เสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 2 สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยตำรวจระดมกำลังกว่า 50 นาย ปิดล้อมหาคนร้ายกว่า 1 วัน ก่อนที่ “จ.ส.ต.ชุติพนธ์ นาคแก้ว” หรือ จ่าเบิร์ด ตำแหน่ง ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.บ้านหนองเอื้อง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการชุดปฏิบัติการพิเศษศรีตรัง (S.W.A.T) ภ.จว.ตรัง ยอมมอบตัวท่ามกลางความโล่งใจของผู้เกี่ยวข้อง เพราะหลังก่อเหตุคนร้ายลักลอบนำอาวุธปืนและเสื้อเกราะหลบหนีไปด้วย

วันเกิดเหตุกลางดึก คืนวันที่ 25 ต.ค. 65 ท่ามกลางเสียงเพลงและแสงสีในสถานบันเทิง อ.เมือง จ.ตรัง เสียงปืนแผดกังวานหลายนัดท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ นักเที่ยวต่างหลบหมอบลงใต้โต๊ะ

เมื่อทุกอย่างสงบลงก็พบร่างชายวัย 32 ปี นอนคว่ำจมกองเลือดด้วยกระสุน 9 นัด เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และพบผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย ในที่เกิดเหตุ เมื่อตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ตายมีความสนิทสนมกับนักการเมืองท้องถิ่น
หากย้อนถึงชนวนการเกิดเหตุ พนักงานในร้านให้ปากคำว่า ผู้ก่อเหตุเดิมเคยเป็นการ์ดของทางร้าน เพิ่งลาออกไปเมื่อเดือนก่อน วันเกิดเหตุคนร้ายได้เข้ามาเที่ยวตามปกติ แต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อคนร้ายลุกพรวดถีบเก้าอี้ไปโดนผู้ตาย ก่อนที่ผู้ตายจะลุกขึ้นมาผลักอกผู้ก่อเหตุ

จากนั้นผู้ตายได้เดินหนีเพื่อขึ้นไปชั้นบนของร้าน แต่ผู้ก่อเหตุชักปืนมากระหน่ำยิงผู้ตาย 9 นัด และยิงเพื่อนผู้ตายที่มาด้วยกันอีก 2 คน จนได้รับบาดเจ็บ การ์ดของร้านได้ยึดอาวุธปืนขนาด 9 มม. ของผู้ก่อเหตุได้ โดยจากการตรวจสอบพบว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นปืนสวัสดิการที่จ่าเบิร์ดใช้เงินส่วนตัวซื้อ

หลังก่อเหตุ จ่าเบิร์ด ได้หลบหนีเข้ามายังสถานที่ทำงาน ลักลอบนำอาวุธปืนยาว เอ็มโฟร์ (m4) และเสื้อเกาะของทางราชการ หลบหนีไปด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ระดมกำลังกว่า 50 นาย ปิดล้อมห้องทำงานของหน่วยสวาท จนสุดท้ายช่วงบ่ายวันที่ 26 ต.ค.65 จ่าเบิร์ด ยอมเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ด้วยอาการอิดโรย หลังหลบซ่อนในป่ามาตลอดคืน

...

กฎการพกปืนนอกเวลาราชการตำรวจอเมริกา

“สุวิทย์ ยงหวาน” อดีตตำรวจรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา กว่า 28 ปี กล่าวว่า ตำรวจในสหรัฐอเมริกาถึงจะไม่มีกฎข้อห้ามเรื่องการพกปืนนอกเวลาราชการ แต่มีหลักการปฏิบัติที่ชัดเจนว่า “ถ้าดื่มเหล้าต้องห้ามพกปืน ถ้าพกปืนต้องห้ามดื่มเหล้า” กรณีของผู้ก่อเหตุรายนี้ในไทย ไม่ควรได้พกปืนหรืออยู่ใกล้ปืน ดังนั้นการคัดเลือกเพื่อเข้ามาเป็นตำรวจควรมีความละเอียดมากกว่านี้ ซึ่งควรประเมินและคำนึงถึงวุฒิภาวะด้านจิตใจของผู้รับคัดเลือกด้วย แต่ที่ผ่านมาจะเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เลยทำให้คนที่เข้ามารับราชการไม่มีคุณภาพ

เจ้าหน้าที่บางคนเมื่อพกปืนแล้วก็แสดงถึงพลังอำนาจ ตำรวจในสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นความคิดที่ผิด กลุ่มคนที่คิดแบบนี้จะถูกคัดออกทันทีในการคัดเลือกเข้ามาเป็นตำรวจตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อเข้ามาสู่การเป็นนักเรียนตำรวจทุกคนจะถูกฝึกให้รู้จักหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชน

“สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องเปลี่ยนแนวคิดของตำรวจไทยใหม่ ตั้งแต่การสอนในโรงเรียนตำรวจไม่ให้คิดว่าตัวเองใหญ่และมีอำนาจเพราะมีปืน สังเกตง่ายๆ พวกที่โพสต์ภาพบนเฟซบุ๊กในเครื่องแบบ หรือโชว์อาวุธปืน สิ่งนี้ตำรวจในสหรัฐอเมริกาจะไม่ทำ เพราะถือว่าไม่เหมาะสม”

ตำรวจในสหรัฐอเมริกาเมื่อยิงคนตายไม่ว่าจะทำถูกหรือผิด สิ่งแรกที่หัวหน้าหน่วยจะต้องทำคือ ยึดปืนที่ยิงไปเก็บไว้ จากนั้นทำการตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติด ต่อมาจะให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกว่าการตัดสินจะเสร็จสิ้น หากตัดสินแล้วทำหน้าที่เหมาะสมก็กลับมาทำงาน แต่ถ้าผิดต้องออกจากการปฏิบัติหน้าที่ทันที.