- ลัทธิประหลาดหลอกล้างสมองเหยื่อ ให้ขายสินค้าได้ตามเป้าหมาย หากทำไม่ได้ต้องลงโทษด้วยการใช้น้ำร้อนราดตัวเอง เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ที่ติดตามข่าว โดยคนร้ายเป็นหญิงข้ามเพศชื่อ ฮารุ วัย 39 ปี หลอกเหยื่ออดีตพยาบาล 3 ราย ให้นำลูกอีก 2 คน มาอยู่ในคอนโดเดียวกัน ด้วยการออกอุบายให้สาบานเป็นพี่น้อง หลังการบุกเข้าจับกุมพบว่าคนร้ายมีความรู้ด้านจิตวิทยา สามารถพูดจูงใจเหยื่อให้ทำตาม และทำร้ายตัวเองได้
- “แม่ตบเพราะอยากได้โอกาส” คำตอบของเด็กน้อยที่ใบหน้าบอบช้ำจากการถูกแม่ตบ เพราะคนร้ายสั่งให้ทำโทษลูกตัวเอง ได้รับการเปิดเผยหลังชุดลาดตระเวนออนไลน์ของกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล เข้าช่วยเหลือทั้ง 5 ชีวิต เนื่องจากได้รับแจ้งจากอดีตสามีของเหยื่อ ถึงพฤติกรรมลัทธิประหลาด หลอกอดีตภรรยาและลูกอีก 2 คน ให้ทำงานชดใช้หนี้ ซึ่งที่ผ่านมาได้หลอกเอาเงินจากเหยื่อกว่า 5 ล้านบาท
- 16 ต.ค. 65 ตำรวจบุกเข้าช่วยเหลือเหยื่อในคอนโด ย่านอรุณอมรินทร์ กรุงเทพฯ พบเหยื่อเป็นอดีตพยาบาล ประกอบด้วย 1.ไพลิน อายุ 46 ปี ที่นำลูกสาววัย 10 ขวบ และลูกชายวัย 6 ขวบ มาด้วย 2.พลอย อายุ 34 ปี 3.ไข่มุก อายุ 48 ปี โดยเหยื่อทั้งหมดถูกคนร้ายล้างสมองให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นอัญมณีตามความเชื่อ ส่วนเด็กๆ ให้เรียกคนร้ายว่าแม่ ส่วนแม่ตัวเองให้เรียกว่าคุณ
- จุดเริ่มต้นของลัทธิต้มตุ๋น เกิดจากการที่คนร้ายไปตีสนิทเหยื่อ และอ้างว่าตัวเองเป็นแพทย์ด้านความงาม รวมถึงเป็นหมอในสถานทูตแห่งหนึ่ง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อจะออกอุบายว่ากำลังทำธุรกิจลงทุน โดยได้เงินจากนายทุนต่างประเทศมา 120 ล้านบาท แต่พอเจอวิกฤติโควิด ทำให้ธุรกิจที่กำลังลงทุนเป็นหนี้มหาศาล จึงเกลี้ยกล่อมเหยื่อให้หาเงินมาใช้หนี้ที่พวกเขาไม่ได้ก่อขึ้น
- เหยื่อทั้งหมดอยู่กับคนร้ายมากว่า 3 ปี บางคนต้องขายบ้านและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อนำมาให้คนร้าย ขณะเดียวกันก็ต้องขายของ หากวันไหนทำยอดไม่ได้ตามเป้า ต้องลงโทษตัวเองด้วยการราดน้ำร้อนบนผิวหนัง โดยคนร้ายมีความรู้ด้านจิตวิทยาสามารถพูดให้เหยื่อขาดความมั่นใจ และรู้สึกว่าตัวเองกระทำผิดต่อผู้อื่น
- จากการสอบสวนคนร้ายของเจ้าหน้าที่ ผู้กระทำผิดยอมรับว่าหลอกลวงเหยื่อด้วยการพูดโน้มน้าวจริง โดยธุรกิจและหนี้สินที่อ้างกับเหยื่อไม่มีอยู่จริง นอกจากนี้ยังแอบอ้างว่าเป็นชาวเกาหลี ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติพบว่า คนร้ายเปลี่ยนชื่อมาแล้ว 8 ครั้ง จึงได้ควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีฐานหลอกลวงและกักขังหน่วงเหนี่ยว ส่วนเหยื่ออดีตพยาบาลทั้ง 3 ราย กลับยืนยันว่าจะไม่เอาผิดกับผู้ก่อเหตุ แต่กลับโทษตัวเองว่าเป็นความผิดของตน ซึ่งหลังจากเผยแพร่ข่าว มีบุคลากรทางการแพทย์ที่เคยถูกคนร้ายหลอกมาแจ้งความเพิ่มอีกหลายราย
...
แนะนำป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
“นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์” โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรณีนี้ตำรวจต้องสอบปากคำอย่างละเอียด เนื่องจากเป็นคดีที่มีความซับซ้อน เพราะขณะนี้มีคดีความที่เกิดจากการหลอกลวงด้วยการพูดจูงใจจำนวนมาก ส่วนใหญ่มาในรูปแบบการหลอกให้ลงทุน คนร้ายมีลักษณะน่าเชื่อถือ แต่กรณีนี้มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกายเหยื่อซ้ำๆ จนทำให้เกิดความสูญเสียความเป็นมนุษย์ ประกอบกับเหยื่อมีความกลัว จึงอยู่ในโอวาทของคนร้ายอย่างจำยอม
เหยื่อที่มักถูกหลอกลวงจะมีความรู้สึกสิ้นหวัง มีภาวะอ่อนแออยู่ในความรู้สึกภายในจนไม่สามารถต่อสู้กับแรงกดดันต่างๆ ได้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีความพยายามในการออกมาจากสถานการณ์วิกฤตินั้น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เลยทำให้เหยื่อขาดความมั่นใจในตัวเอง สุดท้ายทำให้มีความคิดเปลี่ยนไปจากเดิม จนเกิดความรู้สึกโทษตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
“การพูดจาหว่านล้อมเพื่อหลอกลวงขณะนี้มีอยู่รอบตัวเรา โดยเฉพาะการพูดคุยทางโทรศัพท์ แต่ส่วนใหญ่การหลอกลวงอีกรูปแบบจะเป็นการตีสนิท ส่วนใหญ่คนร้ายจะได้เงินจำนวนมาก และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรงต่อร่างกายตามมา”
การป้องกันไม่ให้เป็นเหยื่อ ประชาชนควรมีความรู้ถึงกลโกงของคนร้ายที่ตอนนี้มีจำนวนมาก และต้องมีสติในขณะที่มีคนแปลกหน้ามาชวนให้ไปลงทุน รวมถึงต้องวิเคราะห์ถึงผลกำไรที่มีการนำเสนอไม่ให้มีมากกว่าความเป็นจริง ขณะเดียวกันต้องสังเกตท่าทีของคนแปลกหน้าว่ามีลักษณะในการใช้ความรุนแรงหรือไม่
“หากต้องติดต่อกับคนแปลกหน้า ควรพาผู้ใกล้ชิดไปด้วย เพราะจะช่วยดึงสติเราในภาวะที่คล้อยตามการแนะนำจนถลำตัวมากเกินไป หรือถ้าหากเกิดความรุนแรงกับตัวเอง จะสามารถช่วยเหลือได้ทันที เนื่องจากมิจฉาชีพปัจจุบันมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เลยทำให้ต้องอาศัยคนรอบข้างในการเตือนสติ”.