ชีวิต คือการเดินทาง!
การเดินทางของชีวิต เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีแรก ของการหายใจด้วยตนเอง และสิ้นสุดที่วินาทีสุดท้ายของลมหายใจ
โดยทั่วไป เราจะได้ยินได้ฟังกันตั้งแต่เด็ก ที่ยังคิดอะไรไม่เป็นนักว่า คนเราเกิดมาต้องมีความฝัน แล้วต้องพยายาม "ไป" ให้ถึงฝัน
เรื่องของเราวันนี้ "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ดูจะเป็นโจทย์ที่ขัดแย้งกับทัศนคติที่พยายามปลูกฝั่งกันมาหรือไม่? เพราะหมายถึง ความไม่สำคัญของการมีเป้าหมายของชีวิต คือ ความฝัน ใช่หรือไม่?
หรืออย่างชัดๆ ผู้เขียนไม่เชื่อเรื่องความสำคัญของการที่คนเราทุกคน ควรจะมีความฝัน ใช่หรือไม่?
ผู้เขียนขอตอบอย่างชัดเจนทันทีว่า "ไม่ใช่!"
ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่ "รับรู้" ตั้งแต่เด็ก จากคุณครูและจากการอ่าน ถึงความสำคัญของชีวิต ที่ต้องมีความฝัน
ยังจำได้ถึงคำสอนของคุณครูท่านหนึ่ง ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา (เมื่อกว่าเจ็ดสิบปีมาแล้ว) ว่า "ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมาย ก็เหมือนกับเรือกลางทะเลที่ไม่มีหางเสือ"
ในช่วงชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่น ผู้เขียนก็มี "ความฝัน" ของชีวิต มากกว่าหนึ่งความฝัน
แรกสุด อยากเป็น "หมอ" เพราะเห็นหมอเป็น "ฮีโร่" ช่วยให้คนพ้นทุกข์จากความเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อเข้าใกล้ช่วงที่จะต้องตัดสินใจว่า จะ "เรียนหมอ" หรือไม่ ผู้เขียนก็ต้อง "ถอดใจ" รู้ว่า ตัวเองเป็นหมอไม่ได้
ทำไมหรือ?
ก็เพราะว่า "เห็น" และ "สู้เลือด" ไม่ได้ ดูหนังสงคราม เห็นหมอทหารในสนามรบต้องทำแผล ตัดแขน ตัดขา ทหารบาดเจ็บ โดยไม่มียาระงับปวด ก็รู้ตัวว่า เป็นหมอที่ดี ไม่ได้ แถมผู้เขียนยัง "เจ็บ" และ "กลัว" เข็มฉีดยา มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ต่อมา ผู้เขียนก็ "ฝัน" อยากจะเป็น "นักวิทยาศาสตร์" ที่เก่งอย่าง ดร.ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ ในนิยายชุดสามเกลอ พล.นิกร.กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต อยากเป็น "นักเขียน" เหมือน ป.อินทรปาลิต อยากจะเป็น "นักแต่งเพลง" เหมือน ครูเอื้อ สุนทรสนาน ....
...
และ "ความฝัน" ก็ผลักดัน ผู้เขียนตลอดมา จนกระทั่งได้มีโอกาสสร้างความฝัน จนเป็นจริงบ้าง
คนเราจึงต้องมี "ความฝัน!"
แล้ว "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ของเราวันนี้ หมายถึงอะไร ?
ผู้เขียน กำลังพยายามสื่อสารกับท่านผู้อ่านว่า สำหรับชีวิตของคนเราทุกคน "การเดินทางของชีวิต" เป็นสิ่งที่ทุกคนต้อง "ทำ" ต้อง "เผชิญ" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องพยายามทำอย่างดีที่สุด ในขณะเดียวกัน การตั้งเป้าหมายของชีวิต ก็เป็นเรื่องดีที่ควรต้องมี และต้องพยายามไปให้ถึง
นั่นคือ ทั้งเรื่อง "การเดินทางของชีวิต" และ "การตั้งเป้าหมายของชีวิต" เป็นสองเรื่องที่มีความสำคัญอย่างที่สุด สำหรับชีวิตมนุษย์ทุกคน
แต่ในความสำคัญอย่างที่สุดของทั้งสองเรื่องนั้น ก็มีเรื่องหนึ่งที่ "สำคัญที่สุดกว่า"
อย่างตรงๆ ผู้เขียนกำลังบอกว่า "การเดินทางของชีวิต" มีความสำคัญกว่า "การบรรลุถึงเป้าหมาย"
จริงหรือ? อย่างไร?
นี่คือประเด็นที่ "เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์" วันนี้ กำลังเชิญชวนท่านผู้อ่านไปร่วมกันเจาะศึกษา โดยผู้เขียนเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์ มิใช่เฉพาะกับตัวตนผู้ตระหนักเรื่องนี้เท่านั้น สังคมและโลกก็จะได้ประโยชน์ด้วย
สำหรับผู้เขียน ความคิดเรื่อง "การเดินทาง ดีกว่าการไปถึง" ก่อร่างอยู่ในสมองตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน (วัยรุ่น) อยู่ชั้นมัธยมศึกษา และกำลังคิดเรื่องการเรียนต่อ กับอาชีพที่อยากทำ อยากเป็น
แต่ข้อความ "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" มา "คลิก" เสียงดังเมื่อ ผู้เขียนได้อ่านนิยายยอดจารชน ชุด "เจมส์ บอนด์" สายลับอังกฤษ 007 ของ เอียน เฟลมมิง (Ian Fleming : พ.ศ.2451 – 2507) ตอน You Only Live Twice ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2507 และสร้างเป็นภาพยนตร์ ออกฉายปี พ.ศ. 2510 มี ณอน คอนเนอรี (Sean Connery) รับบทเป็น เจมส์ บอนด์
นวนิยาย "You Only Live Twice" แบ่งเนื้อหา เป็นสองตอน ตอนแรก คือ It is better to travel hopefully… ตอนที่สองคือ ... than to arrive แต่ชื่อตอนของเรื่อง เมื่อเรียงต่อกันให้สมบูรณ์ ก็จะเป็น “It is better to travel hopefully than to arrive” ที่มีคำสำคัญ “hopefully” อยู่ด้วย ซึ่งผู้เขียนพบไม่นานต่อมาว่า มาจากบทความในหนังสือ Virginus Puerisque (ภาษาละติน แปลว่า “Of Maidens And Youth”(แห่งหญิงสาว กับชายหนุ่ม) ของ โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ( Robert Louis Stevenson: พ.ศ.2393-2437 ) ตีพิมพ์ พ.ศ.2424 จากบทความในนิตยสาร Cornhill Magazine
...
ถึงแม้ข้อความ “It is better to travel hopefully than to arrive” ของสตีเวนสัน จะถูกนำไปกล่าวถึงบ่อยมาก ในความหมายเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวจริง ๆ แต่ก็เช่นเดียวกับ “ข้อคิด” “คำกล่าว” ของ สตีเวนสัน ที่มักจะมีความหมายกินความกว้าง ถึงเรื่องราวของชีวิตด้วย
จากข้อคิดของสตีเวนสัน ผู้เขียน ก็ยิ่งมั่นใจถึงความสำคัญของการเดินทางของชีวิต ที่ต้องมีเป้าหมาย และคิดว่า ข้อคิดของสตีเวนสัน นี้ "ใช่เลย!"
แต่ก็อย่างค่อนข้างเร็ว ผู้เขียนก็เริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่ผู้เขียนกำลังคิดเรื่องการเดินทางของชีวิตกับเป้าหมาย ดูจะมากกว่าของ สตีเวนสัน
ผู้เขียนขอถอดความข้อคิดของ สตีเวนสัน ที่กำลังกล่าวถึงอยู่ว่า "การเดินทางอย่างมีความหวังดีกว่าการไปถึง"
เป็นข้อคิดที่งดงาม มีพลัง และชัดเจน สมกับที่เป็นหนึ่งในข้อคิดได้รับการ "กล่าวถึง" (Quote) อย่างแพร่หลายที่สุดในโลก
แต่สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกว่า ความคิดของผู้เขียนไม่ตรงกับของ สตีเวนสัน คือ คำว่า "อย่างมีความหวัง"
ต่อๆ มา ผู้เขียนก็ยิ่ง "คิด" และยิ่งพยายาม "ทำ" ตามสิ่งที่คิดว่า "ใช่" จนกระทั่งในที่สุดก็ตกผลึกมาเป็น "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ถอดความออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ก็จะเป็น "To travel is better than to arrive" ซึ่งในช่วงชีวิตการทำงานของผู้เขียน ก็มีโอกาสหลายครั้ง ในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ในฐานะเป็น "ผู้พูด" (Speaker) หรือ "ผู้บรรยาย" ในการฝึกอบรม ดังเช่น การสื่อสารทางวิทยาศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษ ในต่างประเทศ
หรือในการบรรยายเป็นภาษาไทยในประเทศไทยของเรา ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต หลายครั้งที่ผู้เขียนกล่าวถึง “การเดินทางดีกว่าการไปถึง” ก็จะยก “To travel is better than to arrive” ขึ้นมาประกอบด้วย
...
ผู้เขียนยอมรับว่า "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ดูจะเป็นข้อคิดที่ยังไม่สมบูรณ์
ผู้เขียนรู้สึกว่า จะต้องมี "การขยายความ" หรือ "บางสิ่งบางอย่าง" เป็น "เงื่อนไข" ที่จะทำให้การเดินทางของชีวิต ไปสู่เป้าหมายของชีวิต ที่มีพลัง ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่อาจใกล้เคียงกับ "ความมหัศจรรย์" ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นอย่างง่าย ๆ แต่เกิดขึ้นได้ โดยที่ "บางสิ่งบางอย่าง" นั้น จะต้องมี "อย่างมีความหวัง" ของ สตีเวนสัน เป็นส่วนสำคัญตรง ๆ หรืออย่างไม่ตรงอยู่ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าได้ "เงื่อนไข" ตกผลึกเป็นเงื่อนไข ที่ "สั้น ครอบคลุมและชัดเจน" ก็จะวิเศษอย่างที่สุด
แล้วผลความพยายามค้นหา "เงื่อนไข" สำหรับ "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ของผู้เขียน เป็นอย่างไร?
ตลอดชั่วชีวิตของผู้เขียนตั้งแต่เริ่มต้นคิดเรื่อง การเดินทางของชีวิต การตั้งเป้าของชีวิต ถึงทุกวันนี้ ผู้เขียนก็ได้ค้นหา ทดลอง ทดสอบ "เงื่อนไข" ที่ต้องการตลอดมา
...
สรุปรวบยอดความพยายามของผู้เขียน ถึงขณะนี้ คำตอบตรงๆ คือ ยังไม่ได้คำตอบ ที่เป็น "เงื่อนไข" สำหรับ "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" อย่างที่อยากได้
คือ ยังไม่ได้ "เงื่อนไข" ที่ สั้น ครอบคลุมและชัดเจน
แต่สิ่งที่ได้ ก็เป็น "เงื่อนไข" ที่มีความเป็นรูปธรรมและชัดเจน "ตกผลึก" อยู่ในสมองของผู้เขียน ในรูปของ "ชุด" ปัจจัย และ องค์ประกอบ ที่จำเป็นสำหรับ "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ซึ่งถ้าจะแจกแจงออกมา ก็ค่อนข้างจะเป็น "ร่ายยาว" จนกระทั่งหาโมเมนตัม ได้ยาก
ทว่า ก็มีบางปัจจัย และองค์ประกอบที่ผู้เขียนขอยกมากล่าวถึง ณ ที่นี้ เพียงสามข้อ เป็นปัจจัยและองค์ประกอบที่มี "น้ำเสียง" เชิงเตือนสติของผู้เขียนเอง และฝากให้ท่านผู้อ่าน ช่วยคิดด้วย
หนึ่ง : ระดับของ ความฝัน ให้กล้าและตั้งความฝันให้สูงเอาไว้ แต่ต้องหลีกเลี่ยงความฝันที่ “ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้” เช่น ความเป็นอมตะ หรือความฝันที่จะพิชิตยอดเขาโอลิมปัสบนดาวอังคาร (ยอดเขาสูงที่สุดในระบบสุริยะ) ในชั่วชีวิตนี้
สอง : ในการเดินทางตามหาความฝัน ต้องใช้ทั้ง "ไอคิว" และ "อีคิว" แต่ให้ใช้ "อีคิว" มากกว่า มิฉะนั้น "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ก็จะไม่เกิดขึ้น
สาม : ต้องตระหนักว่า "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" เป็นเรื่อง "ยาก แต่ดี" เพราะจะเกิดเฉพาะกับคนที่มีความมุ่งมั่นต่อวิถีแห่งการดำเนินชีวิต ไปสู่เป้าหมาย ที่วาดฝันภายใต้กรอบเงื่อนไขที่ "ควรจะเป็น"
อย่างเป็นรูปธรรม ก็คือ การตั้งหลัก วางชีวิตมิใช่เพื่อตนเองเท่านั้น และพยายามอย่างที่สุดที่จะยึดวิถีการเดินทางของชีวิตที่สุจริต ยุติธรรม ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เป็นอันตรายต่อคนอื่น ไม่ปรารถนาในสิ่งที่ไม่ควรจะมี
สิ่งที่ต้อง "ระวัง" อย่างที่สุด ก็คือการบุกตะลุยไปข้างหน้า สู่เป้าหมายเช่น เงิน ทรัพย์สิน อิทธิพล อำนาจ ตำแหน่ง ยศศักดิ์ โดยไม่คำนึงถึง "วิธีการ" ใด ๆ ทั้งสิ้น
แล้ว "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ตามแนวทางที่ผู้เขียนนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้ ให้อะไรอย่างเป็นรูปธรรมได้บ้าง นอกเหนือไปจาก "ความฝัน" (ถ้าเป็นจริง)?
ผู้เขียนพบว่า “ให้” มากกว่าที่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนอย่างมาก และหลายอย่างก็ คาดไม่ถึง เช่น ....
• การเดินทางตามหาความฝัน เป็นการ เดินทางที่ต้องใช้เวลา (ส่วนใหญ่) เป็นหลายปี หรือหลายสิบปี ขณะที่ความฝัน (ถ้าเกิดเป็นจริงขึ้นมา) จะเกิดในช่วงเวลาสั้นๆ
นักเขียนใช้เวลาหลายเดือน หรือเป็นปี สร้างผลงานการเขียน แต่เวลาที่ฝันเป็นจริง เช่น ผลงานได้รับรางวัลใหญ่ในระดับประเทศ จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
• คนเรามีความฝันได้มากกว่าหนึ่งความฝัน สำหรับคนที่เชื่อมั่นใน "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" ก็จะมีชีวิตส่วนใหญ่ มีความสุขกับการสร้างความฝันได้อย่างต่อเนื่อง ถึงตลอดชีวิต
• การยึดมั่นใน "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" มีผลทำให้คนยึดมั่น เป็นคน "อยู่ง่าย" กับทั้งตนเองและกับคนอื่น เป็นคนมองโลกในแง่ดี เป็นคน "ใจเย็น" ไม่เห็นแก่ตัว และจะไม่มีวันเป็น "คนจน" เพราะ "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" จะเกิดขึ้นได้เฉพาะกับคนที่ "สร้างชีวิต" และ "สู้ชีวิต" อย่างไม่ประมาท อย่างไม่โลภ คือ อย่างถูกต้องถูกทาง
• โลกเบาขึ้น น่าอยู่ขึ้น ถ้ามีคนที่เชื่อ "การเดินทางดีกว่าการไปถึง" มากขึ้น เพราะอย่างน้อย จะมีคนที่พร้อมจะทำงานหรือช่วยคนอื่นมากขึ้น แม้แต่จะเป็นการช่วยอย่าง "ไม่มี" หรือ "ไม่ได้" ค่าตอบแทน นั่นคือ มีคน "จิตอาสาเงียบ " มากขึ้น
"การเดินทางดีกว่าการไปถึง" จะใช้ได้หรือไม่ กับการเดินทางจริงๆ?
คำตอบ คือ ได้!
ตัวอย่างชัดเจน ที่เชื่อว่า ท่านผู้อ่านหลายท่านเคยได้ยิน ได้ฟัง หรือได้ประสบกับตนเอง
คุณพ่อคุณแม่ พาคุณลูกเดินทางไปเยี่ยมคุณตาคุณยาย คุณปู่คุณย่า ที่ต่างจังหวัด ระหว่างเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว คุณลูกจะสนุกสนานกับทิวทัศน์ ต้นไม้ ภูเขา ตลอดทาง
เมื่อไปถึง คุณพ่อคุณแม่คิดว่า ลูก คงจะอยากพักอยู่นานๆ แต่ในทันทีที่ไปถึง ลูกก็พูดว่า "เมื่อไรกลับ ครับ? คะ?"
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดเรื่อง "การเดินทางของชีวิต" เรื่อง "การตั้งเป้าหมายหรือความฝันของชีวิต" อย่างไร ?
ท่านมีหลักคิด "ชีวิตกับความฝัน" ของท่านเองอย่างไร?