เหตุกราดยิงโดยคนร้ายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.เขตอำเภอนากลาง จ.หนองบัวลำภู มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บหลายรายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งคนร้ายได้ทำการหลบหนีหลังก่อเหตุ
เบื้องต้นทราบว่า คนร้ายคือ ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ ซึ่งเป็นตำรวจนอกราชการ ได้พกพาอาวุธปืนและมีด ก่อเหตุทำร้ายชาวบ้านในพื้นที่ ก่อนจะบุกเข้าไปในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู และกราดยิงภายในศูนย์ ก่อนจะหลบหนี ยิงตัวเองพร้อมภรรยาและลูก เสียชีวิตพร้อมกันในที่สุด ซึ่งรายงานมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 36 ศพ
“รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล” นักอาชญาวิทยา ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า จากเหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้น สถานที่สำคัญเช่น โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า และพื้นที่ชุมชนต่างๆ ควรมีการซ้อมแผนรับมือหากมีคนร้ายเข้ามาในพื้นที่ ขณะเดียวกันควรมีการซ้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เพื่อประสานให้มาระงับเหตุได้ทันเวลา เพราะเหตุการณ์กราดยิงในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด
...
วิธีเอาตัวรอดจากเหตุกราดยิง
แนวทางการเอาตัวรอดจากการกราดยิงคือ “วิ่ง ซ่อน สู้” 1. วิ่ง คือการเอาตัวรอด หากผู้ก่อเหตุอยู่ในพื้นที่ระยะไกล จะต้องพยายามวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอดออกจากสถานที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด แต่สิ่งสำคัญต้องมีสติ และสำรวจเส้นทางที่วิ่งไม่ให้เป็นทิศทางเดียวกับที่คนร้ายอยู่
2. ซ่อน หากอยู่ในระยะกราดยิงของคนร้าย จะต้องหาที่ซ่อนตัว ปิดสัญญาณเสียงเรียกเข้าของมือถือ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง และอาจกลายเป็นเป้าหมายของคนร้าย
3. สู้ ถ้าหลีกหนีไม่ได้ ต้องวางแผนสู้ โดยพยายามหาสิ่งที่เป็นอาวุธได้ในพื้นที่ เช่น ถังดับเพลิง ที่ใช้ฟาดไปที่ศีรษะของคนร้าย หรือฉีดพ่นสารในถังดับเพลิง เพื่อให้คนร้ายมองไม่เห็นและทำการสู้โต้ตอบ หรือวิ่งหนี
“ที่ผ่านมาเคยมีการฝึกซ้อมเพื่อป้องกันเหตุกราดยิง แต่คนไทยหลายคนยังไม่เข้าใจ ซึ่งหลายคนเมื่อได้ยินเสียงปืนแล้วตกใจ ทำให้ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินควรมีสติ ขณะเดียวกันภาคเอกชนต้องมีส่วนร่วมในการซ้อมแผนรับมือมากขึ้น เพราะขณะนี้หน่วยงานตำรวจหลายแห่งเริ่มมีการปรับตัวเพื่อรับมือเหตุร้ายนี้แล้ว”
เหตุกราดยิงในไทย ยังคงเป็นเรื่องที่ภาคเอกชน และหน่วยงานราชการจะต้องมีแผนรับมือ รวมถึงสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น.