สถานการณ์น้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ ชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่วสารทิศ และด้วยความห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่กลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นวันแรก ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงเตรียมศูนย์อพยพไว้รองรับ และมีแนวคิดให้ใช้วิทยุทรานซิสเตอร์รับฟังการออกอากาศแจ้งเตือน หากระบบสื่อสารอื่นๆ ล่ม ได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ต่างมองว่าไอเดีย “บิ๊กตู่” น่าตกยุค

ขณะที่ ทีมโฆษกรัฐบาล ออกมาชี้แจงในทันทีว่า วิทยุเป็นสื่อที่ยังเข้าถึงประชาชนได้ดีที่สุด แทบทุกตำบล ทุกอำเภอ ในการสื่อสารยามมีภัยพิบัติ พร้อมยกผลสำรวจของสำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์ กสทช. และสถาบันอาณาบริเวณศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุพฤติกรรมการรับฟังรายการวิทยุทั่วประเทศ จากจำนวนผู้ฟัง 3,655 คน พบว่า ร้อยละ 68.9 ของกลุ่มผู้ฟังวิทยุ ยังนิยมรับฟังวิทยุในบ้าน วิทยุพกพา หรือวิทยุในรถยนต์

รองลงมาร้อยละ 19.3 รับฟังผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ร้อยละ 7.8 รับฟังจากวิทยุในโทรศัพท์มือ และแท็บเล็ต และน้อยที่สุด ร้อยละ 0.3 รับฟังผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก แล็ปท็อป และคอมพิวเตอร์พกพา

นอกจากนี้ยังอ้างอิงข้อมูลบริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อยืนยันให้เห็นว่า ช่องทางการสื่อสารผ่านวิทยุเป็นช่องทางที่ยังได้รับความนิยมและเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มวัย จากพฤติกรรมการฟังวิทยุของคนในแต่ละช่วงอายุในเดือนส.ค. 2565 พบว่า กลุ่ม Gen X อายุ 40-59 ปี ฟังวิทยุมากที่สุด 3.5 ล้านคน, กลุ่ม Gen Y อายุ 20-29 ปี ฟังวิทยุ 3.3 ล้านคน, กลุ่ม Baby Boomer อายุ 60-71 ปี ฟังวิทยุ 2 ล้านคน และกลุ่ม Gen Z อายุ 12-19 ปี ฟังวิทยุ 8 แสนคน

...

หรือแนวคิด “บิ๊กตู่” แนะนำให้ชาวบ้านฟังการแจ้งเตือนภัยพิบัติผ่านวิทยุทรานซิสเตอร์ อาจทำได้ไม่ตกยุค ซึ่งในเรื่องนี้ “รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์” ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า ข้อมูลเนื้อหาเตือนภัยเป็นส่ิงสำคัญ ไม่ว่าจะมีการแจ้งเตือน หรือสื่อสารด้วยวิธีใด จะต้องมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะบางครั้งให้ข้อมูลไม่ตรงกัน จนเป็นปัญหาทำให้ประชาชนสับสน และศูนย์อำนวยการส่วนหน้าควรทำหน้าที่จัดการทั้งก่อนและหลังเกิดภัยพิบัติในการทำงานแบบบูรณาการ โดยให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แจ้งข้อมูลเตือนภัยไปยังชาวบ้านในพื้นที่

“ตอนนี้กลายเป็นว่าศูนย์อำนวยการส่วนหน้าไม่บูรณาการข้อมูล จนประชาชนได้ข้อมูลสะเปะสะปะ และคนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต้องการข้อมูลตรงนี้ แต่กลับไม่ได้ เป็นช่องว่างในการทำงาน โดยฝ่ายกรมอุตุฯ ก็ออกมาบอกเรื่องน้ำจากฟ้า และกรมชลฯ ก็ออกมาบอกเรื่องสถานการณ์น้ำ แต่ชาวบ้านอาจอยู่ในพื้นที่ที่ไปไม่ถึง อีกทั้งสภาพลุ่มน้ำอาจเปลี่ยนไปแล้ว จนกรมชลฯ ไม่สามารถบอกได้ อย่างคนในพื้นที่บางบาลไม่รู้เรื่องน้ำที่เกิดขึ้น คิดว่าอยู่ที่เนื้อหาเตือนภัย และข้อมูลดีที่สุดต้องมาจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้รับข้อมูลจากอำเภอ ไปบอกแบบปากต่อปาก หรือประกาศเสียงตามสายให้ชาวบ้านรับรู้”

แต่ภาพรวมของประเทศในการแจ้งข่าวเตือนภัย หนีไม่พ้นการสื่อสารผ่านทางโทรทัศน์สำหรับคนอาศัยอยู่ในเมือง แต่คนในท้องถิ่นจะได้ข้อมูลดีที่สุดจากผู้นำชุมชน ไม่ต้องฟังจากวิทยุทรานซิสเตอร์ แม้จะเกิดกรณีไฟดับ โทรศัพท์มือใช้งานไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะทำหน้าที่ไปบอกให้กับชาวบ้านเพื่อเตรียมรับมือ ซึ่งการเตือนภัยสามารถทำได้ทุกวิธี โดยการออกอากาศทางวิทยุเป็นหนึ่งในโหมดการเตือนภัยจากหลายโหมดวิธี เช่นเดียวกับการสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และต้องทำอย่างไรให้ประชาชนสามารถตั้งรับได้จากการบูรณาการข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง.

...