เดือนกันยายนที่ผ่านมา มีโบราณสถานสำคัญ 3 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ อายุราว 500 ปี พังถล่มจนเกิดความเสียหาย ท่ามกลางเสียงเล่าลือว่าเป็นอาเพศหรือไม่ แต่เรื่องนี้ความจริงอธิบายได้ด้วยหลักวิศวกรรมการก่อสร้าง กับสภาพฝนตกหนักต่อเนื่อง จนเป็นผลให้พระธาตุเจดีย์ ฐานพระธาตุ และกำแพงถล่ม และยังมีโบราณสถานอีกหลายแห่งเสี่ยงพังถล่มลงมา 

ย้อนเหตุการณ์โบราณสถาน 3 แห่ง ที่ถล่มลงมาท่ามกลางความวิตกกังวลของชาวบ้าน เริ่มจากวันที่ 25 กันยายน 2565 เกิดเหตุกำแพงเมืองประตูช้างเผือกถล่ม เหตุถัดมาวันที่ 28 กันยายน 2565 ฐานเจดีย์หลุดร่อนเป็นรอยลึก ที่วัดพระธาตุแสงจันทร์ เชิงดอยสุเทพ เหตุการณ์สุดท้าย พระธาตุเจดีย์ วัดศรีสุพรรณ อายุราว 522 ปี พังครืนถล่มอย่างรวดเร็ว 

กำแพงเมืองประตูช้างเผือกถล่ม
กำแพงเมืองประตูช้างเผือกถล่ม

“เทอดศักดิ์ เย็นจุระ” ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 7 ได้อธิบายกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์” ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า โบราณสถานในเมืองเชียงใหม่หลายแห่ง มีการก่อสร้างตามแบบโบราณ ทำให้มีการเสื่อมสภาพไปตามระยะเวลา บวกกับขณะนี้มีฝนตกหนักทำให้เจดีย์ที่มีรอยแตกร้าวอยู่เดิมแล้ว เกิดความเสียหายจนพังถล่มอย่างรวดเร็ว

...

“โบราณสถานหลายแห่งมีรอยแตกร้าวมานาน เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนน้ำจะซึมไปตามรอยแตกร้าว ประกอบกับสภาพแวดล้อมรอบโบราณสถานก็เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดความเสียหาย เพราะเดิมรอบๆ เจดีย์เป็นลานดิน แต่ขณะนี้มีการเทปูนล้อมรอบ ทำให้ความชื้นในดินไม่สามารถระเหยออกมาจากดินได้ ดังนั้นความชื้นในพื้นดินโดยรอบจึงระเหยออกมาทางโบราณสถานที่ตั้งบนพื้นดิน ทำให้เกิดความเสียหาย”

การก่อสร้างโบราณสถานของล้านนา ส่วนใหญ่ก่อสร้างองค์เจดีย์ด้วยดิน ทำให้มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่มีโบราณสถานหลายแห่งที่มีการบูรณะด้วยการฉาบปูน และเกิดความเสียหายโดยปูนกะเทาะออก ทำให้เมื่อเกิดฝนตกน้ำจะไหลเข้าไปในตัวโบราณสถาน และเมื่อถูกความชื้นจากดินเข้ามาสะสม จึงทำให้โบราณสถานพังทลาย

โบราณสถานที่น่าห่วง นอกจากองค์เจดีย์ที่มีความสูงแล้ว ยังมีโบราณสถานที่มีการฉาบปูนไว้เมื่อ 50 – 60 ปี ก่อน หลายแห่งไม่มีข้อมูลระบุไว้ว่ามีการบูรณะทับของเดิม เลยทำให้ยากในการดูแล ดังนั้นการต่อเติมซ่อมแซมโบราณสถานโดยใช้วัสดุผิดประเภท จะทำให้โบราณสถานเสียหายได้เร็วขึ้น

สำหรับแนวทางป้องกันการพังทลายของโบราณสถาน ระยะสั้นมีการสำรวจซ่อมแซมจุดที่มีความเสียหายเบื้องต้น ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้กับผู้ดูแลโบราณสถาน เช่น พระสงฆ์ มัคนายก ให้เห็นถึงคุณและโทษในการปรับเปลี่ยนซ่อมแซมโบราณสถานในพื้นที่

เพราะขณะนี้มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนทรัพย์ซ่อมแซมโบราณสถานตามวัดจำนวนมาก แต่กรมศิลป์มีข้อบังคับว่า บริษัทที่มารับหน้าที่ซ่อมแซม ต้องมีความเชี่ยวชาญในการซ่อมโบราณสถาน เพราะถ้าใช้ผู้รับเหมาที่มีไม่ความรู้ จะทำให้โบราณสถานเสียหายได้ในระยะยาว

พระธาตุเจดีย์ วัดศรีสุพรรณ ที่พังถล่มอย่างรวดเร็ว
พระธาตุเจดีย์ วัดศรีสุพรรณ ที่พังถล่มอย่างรวดเร็ว

ความเชื่อล้านนา สร้างเจดีย์สืบทอดพุทธศาสนาจำนวนมาก 

“เทอดศักดิ์” กล่าวต่อว่า เมืองเชียงใหม่มีโบราณสถานที่เป็นพระธาตุเจดีย์จำนวนมาก เนื่องจากเมื่อครั้งอาณาจักรล้านนารุ่งเรือง กลุ่มชนชั้นสูงนิยมสร้างวัดประจำตระกูล และก่อสร้างองค์เจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิของผู้ที่เสียชีวิต ยุคต่อมาเมื่อเชียงใหม่ถูกพม่ายึดครอง มีการสร้างองค์เจดีย์ไว้จำนวนมาก สิ่งนี้ทำให้เมืองเชียงใหม่มีเจดีย์ที่ออกแบบด้วยศิลปกรรมหลากหลาย

ความเชื่อล้านนานิยมสร้างเจดีย์เพื่อสืบทอดพระศาสนา ทำให้ในเจดีย์จะมีพระพุทธรูปและของมีค่าซ่อนไว้ ซึ่งคนสมัยก่อนจะไม่นำพระพุทธรูป หรือพระเครื่องไปไว้ที่บ้าน แต่จะไว้ที่วัด จนยุคสมัยเปลี่ยนไป ความนิยมในการนำพระเครื่องมาไว้ในครอบครองจึงมีมากขึ้น โดยขณะนี้ทางหน่วยงานได้กำชับกับทางวัดที่เกิดเหตุการณ์เจดีย์ถล่มให้ดูแลโบราณวัตถุ เช่น พระพุทธรูป และจัดเวรยามเพื่อเฝ้าโดยรอบ ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพมาแอบขุดหาของมีค่าได้

“ขณะนี้พยายามให้ความรู้กับผู้ที่ดูแลโบราณสถาน ให้หมั่นตรวจความเสียหายของโบราณสถาน และต้องกำจัดวัชพืชที่ขึ้นบนโบราณสถาน เพราะเป็นอีกปัจจัยทำให้เกิดความเสียหาย เช่น ต้นโพธิ์ที่ขึ้นตามซอกเจดีย์ หากไม่มีการถอนทิ้ง เมื่อลำต้นโตขึ้นจะทำให้โบราณสถานเสียหาย จนยากจะซ่อมแซม ทั้งนี้ ความเสียหายของโบราณสถานไม่ได้เกี่ยวกับอาเพศ แต่ถ้าประชาชนมีความเข้าใจ ช่วยกันดูแลโบราณสถานอย่างถูกต้อง จะทำให้ร่องรอยของอดีตเหล่านี้อยู่กับลูกหลานชาวเชียงใหม่ตลอดไป”.