กลายเป็นเหตุการณ์ที่มีการถกเถียงกันสนั่นโลกโซเชียล เมื่อลูกสาวแจ้งดำเนินคดีกับพ่อ หลังลูกนำแมวไปฝากไว้ที่บ้านแม่ แล้วพ่อแอบนำแมวไปปล่อยวัด แต่ระหว่างทางแมวกระโดดลงจากรถจนถูกรถที่สัญจรไปมาชนตาย เมื่อลูกสาวสืบทราบว่าพ่อแอบนำแมวสุดที่รักไป จึงไปแจ้งความดำเนินคดี แต่กฎหมายไทย เอื้อประโยชน์ให้ลูกดำเนินคดีกับบุพการีได้เพียงบางกรณีเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์” ว่า เป็นเรื่องเศร้าในครอบครัวที่ลูกสาวยืนยันต้องการให้พ่อรับโทษในผลกรรมที่ทำไว้กับสัตว์ เหตุขโมยแมวสุดรักไปปล่อยทิ้ง พบอีกทีกลายเป็นศพเพราะถูกรถชนตาย โดยทางมูลนิธิฯ รับแจ้งเรื่องร้องเรียน ขอให้ช่วยเหลือเรื่องดำเนินคดีกับพ่อ
ต้นเหตุเกิดจากบิดา ขโมยแมวชื่อ ฮาชิ อายุ เจ็ดเดือน ของลูกสาวไปปล่อยทิ้ง ลูกตามหาจนพบเป็นศพถูกรถชนตาย
จึงต้องการให้พ่อได้รับโทษ แต่เกรงว่าไปแจ้งความด้วยตัวเอง แล้วตำรวจจะให้ไกล่เกลี่ย จึงแจ้งมายังมูลนิธิฯ ให้ร้องทุกข์กล่าวโทษข้อหาลักทรัพย์ และทารุณกรรมสัตว์ต่อบิดา
ส่วนข้อมูลจากพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรบางละมุง จังหวัดชลบุรี ระบุว่าได้รับเรื่องร้องทุกข์กรณีดังกล่าวแล้ว และเตรียมเรียกพยาน ผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาสอบสวน เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ ที่จะมีผลต่อรูปคดี
“ทนายเกิดผล แก้วเกิด” ทนายชื่อดังให้ความเห็นคดีนี้ว่า ทางกฎหมายการฟ้องร้องเอาผิดกับพ่อในคดีนี้ไม่สามารถทำได้ ทางกฎหมายเรียกว่า คดีอุทลุม ที่ระบุว่า บุคคลใดฟ้องบุพการีของตนไม่ได้ ทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ถ้าต้องการฟ้องร้องเอาผิดจะต้องไปแจ้งกับอัยการโดยตรง เพื่อให้อัยการเป็นผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีแทน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าอัยการ จะรับกรณีนี้ไว้พิจารณาหรือไม่
...
“ด้วยกฎหมายไม่ต้องการให้ลูกหลานฟ้องร้องบุพการี เพราะจะเกิดปัญหาสังคมตามมา เนื่องจากวัฒนธรรมสังคมไทยไม่อยากให้เกิดข้อพิพาท ซึ่งขณะนี้มีกรณีที่ลูกฟ้องเอาผิดกับพ่อแม่ เข้ามาในการพิจารณาของศาลมากขึ้น”
หากกฎหมายไทยมีการเปิดช่องให้ลูกสามารถฟ้องเอาผิดกับพ่อแม่ได้ จะทำให้มีคดีที่ฟ้องร้องกันมากขึ้น เนื่องจากเด็กยังขาดวุฒิภาวะ หรือบางรายถูกเพื่อนยุยง ตัวอย่างเช่น เด็กอายุ 13 ปี แจ้งความว่าพ่อตี ถ้าพิจารณาคดีเสร็จแล้ว พ่อกับลูกจะกลับไปอยู่บ้านเดียวกันได้อย่างไร และเสี่ยงจะเกิดผลกระทบตามมาทำให้ครอบครัวแตกแยกกันได้ในอนาคต
สำหรับกรณีที่ลูกแจ้งความเอาผิดกับพ่อกรณีนี้ อยากให้ลองทบทวนใหม่ว่า ขณะนี้พ่อน่าจะได้รับบทเรียนที่เพียงพอแล้ว จึงอยากให้คุยกันเพื่อปรับความเข้าใจ ซึ่งลูกไม่ควรอาฆาตแค้นกับพ่อแม่ เพราะถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณเติบโตมาได้อาจมีค่ามากกว่าแมวที่สูญเสียไป เพราะสุดท้ายแล้วคดีนี้ เมื่อขึ้นสู่ชั้นศาลก็ต้องเข้าสู่กระบวนการประนีประนอมระหว่างกัน
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอีกท่าน แนะนำว่า บางกรณีผู้สืบสันดานสามารถฟ้องบุพการีได้โดยตรงต่อศาล โดยไม่ถือว่าเป็นคดีอุทลุม เช่น ลูกในฐานะผู้ถือหุ้นฟ้องพ่อแม่ ในฐานะกรรมการของบริษัท ที่ยักยอกเงินของบริษัทได้
ส่วนอีกกรณีที่ลูกสามารถฟ้องร้องพ่อได้ หากพ่อไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับแม่ หรือจดทะเบียนรับรองบุตรไว้ แม้จะเลี้ยงดูกันจริงก็ตาม เพราะถือว่าเป็นบิดาโดยพฤตินัยเท่านั้น ไม่ใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย.
ขอบคุณภาพจาก : เพจเฟซบุ๊ก “มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์”