คดีทุจริตการก่อสร้างสถานีตำรวจ หรือโรงพักทดแทน 396 แห่ง เป็นคดีความมากกว่า 10 ปี ซึ่งล่าสุด ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง นายสุเทพ กับพวกทั้งหมด 6 ราย โดยกว่าคดีนี้จะมาถึงวันตัดสิน ต้องผ่านกระบวนการสอบสวนและหาหลักฐานมากว่า 10 ปี เมื่อทราบผลตัดสิน สุเทพ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ “เป็นแพะทางการเมือง” 

  • คดีทุจริตการก่อสร้างสถานีตำรวจ หรือโรงพักทดแทน 396 แห่ง เป็นคดีความที่ลากยาวมากว่า 10 ปี ตั้งแต่เริ่มเป็นคดีความเมื่อปี 2555 จนได้รับฉายาผ่านสื่อว่า “คดีโรงพักร้าง” เนื่องจากมีการกล่าวหา “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีการเซ็นอนุมัติโครงการนี้ในเดือนมิถุนายน 2552 ด้วยเงินงบประมาณไทยเข้มแข็ง จำนวน 5,848 ล้านบาท

  • คดีโรงพักร้าง เริ่มจากการอภิปรายในสภาฯ ปี 2555 ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.พรรครักประเทศไทย ในขณะนั้น อภิปรายถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการนี้ต่อรัฐบาล ที่ขณะนั้นคือพรรคเพื่อไทย นำไปสู่การดำเนินการส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI รวบรวมพยานหลักฐานและเสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการสอบสวน

  • ความสงสัยในการจัดสร้างโรงพักทดแทน ที่เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนมีนาคม 2554 แต่เมื่อใกล้สิ้นสุดสัญญาปี 2556 การก่อสร้างโรงพักกลับไม่คืบหน้า พื้นที่ก่อสร้างหลายแห่งผู้รับเหมาต่างทิ้งงาน ทำให้ตำรวจในพื้นที่ต้องไปเช่าสถานที่อื่นทำงานแทน ขณะที่พื้นที่ก่อสร้างถูกทิ้งร้าง หลายแห่งมีแค่เสากับพื้นปูน

  • การก่อสร้างโรงพักทดแทนที่ไม่แล้วเสร็จ ทำให้เกิดการขุดคุ้ยสัญญาการว่าจ้างการก่อสร้างโรงพักทั้ง 396 แห่ง จนพบว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบสัญญาจ้าง จากเดิมที่จัดจ้างเป็นรายภาค มีการปรับเปลี่ยนสัญญาเป็นการจ้างรวมกันจากส่วนกลางในครั้งเดียว สิ่งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัย และนำไปสู่การกล่าวหา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ให้กับ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
  • การสอบสวนในคดีโรงพักร้าง เปิดฉากขึ้นจากการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ตรวจสอบและหาหลักฐานเมื่อปี 2555 ซึ่งขณะนั้นมี ธาริต เพ็งดิษฐ์ นั่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และในอีกปีต่อมาส่งสำนวนคดีการสอบสวนให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนคดีต่อในปี 2558

  • การไต่สวนคดีเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ เมื่อคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ขณะที่ อภิสิทธิ์ รอดพ้นข้อกล่าวหา เนื่องจากไม่พบพยานหลักฐานว่าเป็นผู้อนุมัติสั่งการ

  • คดีโรงพักร้างเงียบหายไปสักพักใหญ่ แต่พอปี 2561 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการแถลงว่า คดีโรงพักร้างมีความคืบหน้าไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และเตรียมจะแจ้งข้อกล่าวหา “สุเทพ เทือกสุบรรณ” พร้อมพวกอีก 17 คน ในดคีทุจริตการก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง

  • ด้านการสอบสวนผู้รับเหมาในสัญญาการก่อสร้าง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้ดำเนินการสอบสวนต่อ และจากพยานหลักฐาน ไม่พบการกระทำผิดของ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และอัยการคดีพิเศษมีคำสั่งไม่ฟ้อง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 เนื่องจากเห็นว่าผู้รับเหมาไม่ได้รับเงินค่าจ้างและเงินค่าดำเนินการ ซึ่งเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง แต่ไม่ได้เป็นการหลอกลวง

  • แม้คดีโรงพักร้างจะผ่านมาแล้วหลาย 10 ปี แต่คดีความยังไม่จบสิ้น โดยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เดินทางไปรายงานตัวที่ศาลฎีกาแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และได้รับการประกันตัวไปในที่สุด

  • จนล่วงมาถึงวันที่ 20 กันยายน 2565 สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายัง ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อฟังคำตัดสิน โดยศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ซึ่งหลังอ่านคำพิพากษา สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวว่า “ขอให้ดูกรณีที่เกิดขึ้นกับผมเป็นตัวอย่าง ต้องตกอยู่ภายใต้กระแสครหาการทุจริตกว่า 8-9 ปี แต่อาศัยความจริงเข้ามาต่อสู้ วันนี้คนที่เป็นคนดีทั้งหลายควรมีกำลังใจ เมื่อเราตั้งใจทำความดีให้กับบ้านเมืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครอง โดยศาลยังเป็นที่พึ่ง และเป็นหลักให้กับสังคมได้เสมอ”

  • หลังการรอดพ้นคดีการกล่าวหาการทุจริต สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ประกาศเดินหน้าบนเวทีการเมืองอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาในรอบนี้จะเป็นกุญซือให้กับพรรคการเมืองที่ตนเองร่วมก่อตั้ง และต้องติดตามบทบาทใหม่บนเวทีการเมืองไทยหลังจากนี้ 

...