“ถ้าส่งตำรวจ ก็ต้องถูกส่งตัวต่อไปสถานพินิจ เข้าไปไม่นาน เดี๋ยวก็ออกมา” คำพูดของกลุ่มผู้ต้องสงสัยก่อเหตุทำร้ายเด็กอายุ 14 เสียชีวิตปริศนา ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 กลายเป็นคำพูดที่ยังฝังใจน้าของผู้ตาย ที่พยายามห้ามปรามไม่ให้ทำร้ายหลาน โดยกลุ่มผู้ต้องสงสัยอ้างว่า ผู้ตายขโมยทองคำหนัก 1 บาท พร้อมเงิน 3 พันบาท แม้น้าชายจะเจรจาว่า หากขโมยจริงให้ไปแจ้งความกับตำรวจ แต่กลุ่มผู้ก่อเหตุกลับปฏิเสธการแจ้งความ ซึ่งขณะนี้มีหลายคดีที่เกิดเหตุลักษณะเดียวกัน เนื่องจากผู้ก่อเหตุไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการลงโทษเยาวชนกระทำผิด จึงตัดสินโดยใช้กำลังทำร้ายแบบกฎหมู่เหนือกฎหมาย
น้าของเด็กชายที่เสียชีวิตยอมรับว่า หลานไม่ได้ไปเรียนหนังสือ เพราะเกเรและเคยมีพฤติกรรมขโมยของถูกจับส่งสถานพินิจมาหลายรอบ ก่อนวันพบศพ เวลาประมาณตี 2 น้าชายของผู้ตาย ได้ยินเสียงทะเลาะกันด้านนอกบ้าน เมื่อเปิดประตูออกไปเจอผู้ตายและกลุ่มวัยรุ่น ที่อ้างว่าหลานขโมยทองและเงินไป จากนั้นผู้ตายได้ไปกับกลุ่มผู้ต้องสงสัย โดยอ้างว่าจะไปเอาของมาคืน และพบกลายเป็นศพในวันถัดมา
กรณีการทำร้ายเยาวชนที่เคยมีพฤติกรรมกระทำผิดซ้ำ เกิดขึ้นบ่อยมากขึ้น เนื่องจากคนในสังคมบางกลุ่มมองว่า การลงโทษเยาวชนหนักสุดเพียงคุมขังไม่นานก็ออกมากระทำผิดใหม่ ทำให้เกิด “ศาลเตี้ย” ที่ใช้กำลังตัดสินเยาวชนผู้กระทำผิด โดยไม่สนใจกฎหมาย จนบางกรณีถึงขั้นเสียชีวิต
“ดร.ปราโมทย์ เสริมศีลธรรม” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายคดีที่ใช้ศาลเตี้ย ตัดสินทำร้ายเยาวชนที่อาจมีพฤติกรรมกระทำผิด เนื่องจากคนในสังคมบางกลุ่มเชื่อว่าการลงโทษเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมมีโทษเบา
...
“กรณีการเสียชีวิตของเด็กวัย 14 รายดังกล่าว หากมีการตรวจสอบพบว่า กลุ่มผู้ต้องสงสัยทำร้ายจนเสียชีวิต จะต้องมีการลงโทษ เพราะขณะนี้มีคดีที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันมาก แสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพต่อการตัดสินใจของกระบวนการยุติธรรม และทำให้สังคมเกิดศาลเตี้ยกับเยาวชนมากขึ้นเรื่อยๆ”
แม้การตัดสินโทษเยาวชนทางกฎหมายหนักสุดคือการจำคุก และจะมีกระบวนการของศาลเพื่อกล่อมเกลาเยาวชนไม่ให้กระทำผิดซ้ำ เช่น การเข้าไปอยู่ในสถานพินิจเพื่อฝึกอาชีพ หรือการอบรมความประพฤติร่วมกับผู้ปกครอง ซึ่งเยาวชนที่กระทำผิดหลายคนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ แต่มีบางคนกลับไปกระทำผิดซ้ำ จนคนในสังคมบางกลุ่มตั้งศาลเตี้ย เพื่อลงโทษโดยไม่สนใจกฎหมาย
การกระทำโดยตั้งตนเป็นศาลเตี้ย เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จะต้องมีการลงโทษผู้ที่ทำในกระบวนการยุติธรรมให้หนักขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างแก่คนในสังคมกระทำตาม
โทษเยาวชนกระทำผิดตามกฎหมายใหม่
“ดร.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า การตั้งศาลเตี้ยเพื่อทำร้ายเยาวชนที่มีการกระทำความผิดซ้ำ จะยิ่งทำให้สังคมโกลาหล และควรจะลบความเชื่อผิดๆ ออกไปจากสังคมไทย เพราะในเชิงกฎหมายเยาวชนทั่วโลกต่างมุ่งเน้นการแก้ไขพฤติกรรม เพื่อให้โอกาสแก่เยาวชน จึงทำให้ไม่สามารถนำโทษความผิดของผู้ใหญ่มาบังคับใช้ในเยาวชนได้
“จากสถิติเยาวชนที่กระทำผิดส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-18 ปี พฤติกรรมการกระทำผิดส่วนใหญ่มาจากกรณียาเสพติด รองลงมาเป็นการลักทรัพย์และการทำร้ายร่างกาย โดยเด็กผู้ชายมีการกระทำความผิดมากกว่าผู้หญิง”
ตามกฎหมายเยาวชนฉบับใหม่ มีการปรับเปลี่ยนเพื่อกำหนดโทษตามอายุของเยาวชนไว้ดังนี้
- เยาวชนอายุไม่เกิน 12 ปี กระทำผิดจะไม่ได้รับโทษ แต่ศาลจะมีดุลพินิจให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- เยาวชนอายุ 12-15 ปี กระทำผิดไม่ได้รับโทษ แต่ต้องอยู่ในการควบคุมของผู้ปกครอง ซึ่งประมวลกฎหมายอาญามีข้อกำหนดให้ควบคุมความประพฤติเป็นรายกรณี
- เยาวชนอายุ 15-18 ปี ศาลมีคำตัดสินลงโทษโดยการส่งไปยังศูนย์ฝึกอบรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือมีการลงโทษเพียงกึ่งหนึ่งของความผิด
- เยาวชนอายุ 18-20 ปี กระทำผิดศาลจะมีคำสั่งลงโทษเพียงกึ่งหนึ่ง หรือลงโทษ 1 ใน 3 ของความผิด
สถิติคดียาเสพติดเยาวชนกระทำผิดมากที่สุดหลายปีติดต่อกัน
สำหรับสถิติเยาวชนที่กระทำความผิด รวบรวมโดยกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อปี 2564 ทั่วประเทศ พบว่า มีเยาวชนชายกระทำผิดจำนวน 13,309 คน คิดเป็นร้อยละ 91.20 คดี ส่วนผู้หญิงมี 1,284 คน คิดเป็นร้อยละ 8.80 คดี
...
ส่วนฐานความผิดคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดมีมากถึง 6,943 คดี รองลงมาเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน 1,857 คดี ส่วนคดีความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย 1,477 คดี และคดีความผิดเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศ 721 คดี
จากการวิเคราะห์ผลงานวิจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็น ถึงปัญหาเกี่ยวกับคดียาเสพติด ที่ยังมีการกระทำความผิดมากเป็นอันดับ 1 หลายปีติดต่อกัน เป็นผลมาจากเยาวชนมีพฤติกรรมคึกคะนอง อยากลองเสพยา ส่วนอีกปัจจัยต่อมาเป็นผลจากเยาวชนตกเป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่ ที่ใช้เด็กให้กระทำความผิด เนื่องจากเยาวชนมีโทษความผิดที่เบา ล่าสุดกฎหมายที่เกี่ยวกับการลงโทษเยาวชนในคดียาเสพติด มีการระบุเพิ่มว่า หากสืบทราบว่ามีผู้ใหญ่เป็นผู้บงการจะต้องได้รับโทษหนัก เพื่อป้องกันการใช้เยาวชนเป็นเครื่องมือในขบวนการค้ายาเสพติด.