เหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นในสังคมซ้ำซากอย่างไม่คาดคิด ตั้งแต่เหตุโศกนาฏกรรมจ่าคลั่งกราดยิงโคราช เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 มีผู้เสียชีวิต 31 ศพ และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก จนมาเกิดเหตุอีกในปีเดียวกันห่างกันเพียงแค่ 3 เดือนกว่า เมื่อนายช่างไฟฟ้าสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.พิษณุโลก ใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ดับรวม 3 ศพ ยังไม่รวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ปืนกราดยิงไม่ยั้ง
ล่าสุด อีกคดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้นในช่วงสายวันที่ 14 ก.ย. 2565 ขณะเจ้าหน้าที่ทหารกำลังนั่งทำงาน ภายในกรมยุทธศึกษาทหารบก ได้มีจ่าทหารวัย 58 ปี ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงเพื่อนร่วมงาน ซึ่งทำหน้าที่เสมียนเช่นเดียวกัน จนเสียชีวิต 2 ศพ บาดเจ็บ 1 ราย นำไปสู่การตั้งคำถามของสังคมว่าเกิดจากแรงจูงใจใดในการก่อเหตุรุนแรง และคนทั่วไปมักจะมองว่าเกิดจากความผิดปกติทางจิต แม้คดีนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่บางเหตุการณ์พบว่าเกิดจากการใช้สารเสพติดจนเกิดอาการหลอน คิดว่าคนกำลังปองร้าย หรือดื่มสุราจนมึนเมาขาดสติ รวมถึงความเครียดจากแรงกดดัน และปมแค้นสะสม
...
การฟันธงว่าเกิดจากอาการทางจิต เป็นต้นเหตุในการก่ออาชญากรรมใช้ปืนกราดยิงอย่างบ้าคลั่ง อาจไม่ใช่เสมอไป ซึ่งในทางทฤษฎีอาชญาวิทยา “ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล” ประธานหลักสูตรปริญญาเอกนานาชาติ ด้านอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า ในกรณีจ่าทหารยิงเพื่อนร่วมงาน เกิดจากแรงจูงใจใดนั้นจากข้อมูลที่ทราบโดยทั่วไปเคยประสบอุบัติเหตุจนมีปัญหาต่อสมอง ซึ่งประเทศสหรัฐฯ มีการศึกษาในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก เกี่ยวกับอาการทางสมองที่ได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรงจากอุบัติเหตุ จนเกิดการฟกช้ำในสมองมีผลทำให้บางคนเกิดอาการซึมเศร้า และเครียด เสี่ยงเป็นโรคจิตเวช มีแนวโน้มสูงในการใช้ความรุนแรงและก่ออาชญากรรม
นอกจากนี้ ยังมีคนอีกกลุ่มเสพกัญชาอย่างต่อเนื่องจนกระทบต่อสมอง มีแนวโน้มสูงในการก่อเหตุรุนแรงเช่นกัน แม้ประเทศไทยไม่เคยศึกษาเรื่องนี้ แต่ประเทศสหรัฐฯ มีการศึกษาในแง่ผลกระทบสูงต่อร่างกาย และเมื่อประมวลเหตุจ่าทหารใช้ปืนยิงเพื่อนร่วมงานจนเสียชีวิต คิดว่าเกิดจากอาการสมอง หากกราดยิงจริงๆ คงมีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้ แม้ผู้ก่อเหตุจะบอกว่าจะยิงให้ตายครบ 10 ศพก็ตาม แต่เหตุที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่การกราดยิง เพราะอย่างน้อยต้องมีผู้เสียชีวิต 10 ศพขึ้นไป อย่างเหตุการณ์ในอดีต และดูจากพฤติกรรมหากไม่เกิดจากความเครียด น่าจะมาจากปัญหาทางสมอง มีผลต่อการควบคุมตัวเอง
“เหตุกราดยิงที่เคยเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากผลกระทบโควิดจนเกิดความเครียด หรือเกิดจากความขัดแย้งโกรธแค้น และกรณีของจ่าทหาร ดูจากงานที่ทำก็ไม่เครียด อีกทั้งอยู่ในวัยใกล้เกษียณ ก็น่าจะปล่อยวางใช้ชีวิตเงียบๆ เมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐฯ แล้ว มีเหตุกราดยิงเยอะมาก คนก่อเหตุมักถูกบูลลี่ เป็นเด็กต่างชาติแม้จะเกิดที่นั่น แต่ก็ถูกบูลลี่ล้อเลียนจนเกิดความเครียด อีกทั้งปืนหาง่ายมากในการก่อเหตุ”
...
ในกรณีเกิดจากปมในวัยเด็ก หากเจอสังคมที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็อาจไม่ก่อเหตุรุนแรง ยกเว้นสภาพแวดล้อมรอบๆ ข้าง มีการทะเลาะเบาะแว้งอยู่ตลอดเวลา จะเกิดการซึมซับทำให้ก่อเหตุได้ ซึ่งในต่างประเทศจะหนักกว่าไทย เพราะต่างคนต่างอยู่ไม่สนใจใคร อาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ แต่ในไทยยังมีเพื่อนยังมีทางออก ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ และค่าครองชีพในไทยถูกกว่ายังพอมีทางออกแก้ไขปัญหาได้
เมื่อประเมินแนวโน้มการก่อเหตุรุนแรงระหว่างทหารกับตำรวจ พบว่าทหารส่วนใหญ่มีแรงกดดันน้อยกว่าตำรวจ จากการปลูกฝังอุดมการณ์ของทหาร ซึ่งแตกต่างกับตำรวจอาจถูกเอาเปรียบจากคนรอบข้าง จนเกิดความเครียดลงมือก่อเหตุมากกว่า จากหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในโรงพัก และในมุมมองอาชญาวิทยา ถือว่าเหตุกราดยิงในไทยมีน้อยมาก แต่ในอนาคตรู้สึกเป็นกังวลว่ากลุ่มผู้เสพยาเสพติดมีแนวโน้มสูงมากจะก่อเหตุ ย่ิงในปัจจุบันยาบ้าถูกมาก คนใช้กัญชาต่อเนื่อง จนทำลายสมอง มีผลต่อจิตเวชและต่อจิตประสาท หากไม่เตรียมรับมือ อาจจะเกิดเหตุรุนแรงยิ่งกว่าการกราดยิงก็ได้.
...