กฎหมายจราจรฉบับใหม่ หรือ กฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับที่ 13 มีการบังคับใช้ และเพิ่มอัตราโทษจำคุก ค่าปรับบางกรณีไม่เกิน 4,000 บาท แม้ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงการลงโทษตามกฎหมายเดิมไปอีก 3 เดือน แต่ก็มีคำถามถึงอัตราการลงโทษที่หนักขึ้น จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับเงินใต้โต๊ะ หรือส่วย เพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งแนวทางการควบคุมยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาหลังจากนี้

“พรหมมินทร์ กัณธิยะ” ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่า กฎหมายจราจรฉบับใหม่ที่ตอนนี้ยังผ่อนผันการลงโทษใน 3 เดือนแรก เป้าหมายเพื่อลดอุบัติเหตุและการกระทำผิดกฎหมายจราจร แต่สิ่งที่ต้องมีการพิจารณาตามมาคือ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากโทษที่มีค่าปรับสูง จะทำให้ผู้กระทำผิดจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจมากขึ้น

สำหรับการกระทำความผิดกฎหมายจราจรที่มีความเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่จะรับเงินใต้โต๊ะ จะเป็นความผิดที่ไม่ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย เช่น การไม่สวมหมวกกันน็อก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้ดุลยพินิจในการจับกุม แนวทางการแก้ปัญหา สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องมีงบประมาณในการลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยตรวจสอบไม่ให้เจ้าหน้าที่กระทำผิดเสียเอง

นอกจากนี้ กระบวนการตัดแต้มผู้กระทำผิดกฎจราจรควรมีความเข้มงวด เพราะจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมผู้กระทำผิด โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำอาชีพขับรถรับส่งสาธารณะ หากถูกตัดแต้มจะต้องถูกลงโทษ เช่น ไม่ให้ต่อทะเบียนในการเป็นผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะ ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่มีความระมัดระวังมากขึ้น

“การพิจารณาผู้กระทำผิดกฎหมายจราจร ที่จะมีการตัดสินในชั้นศาล ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา เบื้องต้นมีการพูดคุยกันว่า ถ้ากรณีที่ผู้กระทำผิดยอมเสียค่าปรับจะไม่ต้องไปขึ้นศาล แต่ถ้าผู้กระทำผิดต้องการจะโต้แย้ง ต้องเข้าสู่กระบวนการที่ศาลพิจารณา โดยต้องวางแนวทางไม่ให้มีกระบวนการที่ยุ่งยาก ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้”

...

การปรับเปลี่ยนกฎหมายจราจรให้มีโทษเพิ่มสูงขึ้น จำเป็นจะต้องใช้เวลา และต้องมีการทุ่มเทเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้สะดวกขึ้น โดยประชาชนต้องไม่เกิดความคลางแคลงใจในการทำงาน ขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องอบรมตำรวจจราจรให้มีความเข้าใจกฎหมายใหม่ และนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อช่วยให้เกิดการทำงานที่ประชาชนยอมรับมากขึ้น

กฎหมายจราจรฉบับใหม่เปิดช่องให้ขึ้นศาล เพื่อโต้แย้งคำตัดสินของตำรวจ

“พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ” รองเลขาธิการ ปปง. และอดีต กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การจราจรทางบกฯ กล่าวว่า ขณะนี้กฎหมายจราจรฉบับใหม่ยังต้องมีการปรับปรุงอัตราค่าปรับกันอีกครั้งในช่วงต้นปี 2566 โดยจะมีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่เป้าหมายหลักก็เพื่อลงโทษผู้กระทำผิดที่ใช้ความเร็วเกินอัตราที่กำหนด และเมื่อมีการกำหนดอัตราค่าปรับใหม่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องลงโทษผู้ฝ่าฝืนตามอัตราใหม่ โดยห้ามปรับตามอำเภอใจ

สำหรับความกังวลของประชาชนว่าจะมีการเรียกรับเงินของเจ้าหน้าที่มากขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมที่จะวางมาตรการควบคุมเจ้าหน้าที่ และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ เช่น ติดตั้งกล้อง CCTV บริเวณจุดตรวจ ป้องกันการรับเงินใต้โต๊ะของเจ้าพนักงาน รวมถึงนำกล้องวงจรปิดมาตรวจจับรถที่ฝ่าฝืนกฎจราจร เพื่อลดการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“การทำผิดกฎจราจรขณะนี้มีมากที่สุดคือ การใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมาย ส่วนกรณีที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุและสูญเสียมากที่สุดมาจากการเมาแล้วขับ จึงทำให้กฎหมายจราจรฉบับใหม่มุ่งเน้นการลงโทษคนที่เมาแล้วขับหนักขึ้น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น”

เดิมกฎหมายจราจรเมื่อจะต่อสู้คดีที่ประชาชนไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน จะต้องไปต่อสู้กันที่ศาลแขวง ซึ่งทำให้มีกระบวนการที่ยุ่งยาก แต่ในกฎหมายจราจรฉบับใหม่ได้ปรับปรุงให้สะดวกขึ้น โดยกำหนดไว้ในวิธีการพิจารณาความผิดด้านจราจร ที่เบื้องต้นได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนกฤษฎีกา

หากกฎหมายจราจรการพิจารณาผู้กระทำผิดฉบับใหม่เสร็จสิ้น การพิจารณาผู้กระทำผิดจะเหมือนกับสหรัฐอเมริกา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องสอบถามว่า ต้องการจะเสียค่าปรับ หรือไปต่อสู้ในชั้นศาล ถ้าไปต่อสู้ในชั้นศาลจะนัดวันให้ไปชี้แจง เพื่อให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาและผู้จับกุมต้องนำหลักฐานมาแสดงให้กับศาลพิจารณาในทันที กระบวนการนี้เป็นไปเพื่อให้ประชาชนได้โต้แย้งและต่อสู้คดีการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายจราจร

การต่อสู้ในชั้นศาลตามกฎหมายจราจรฉบับใหม่ หากศาลมีการตัดสินว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจแพ้คดี จะต้องถูกสอบสวนทางวินัย สิ่งนี้จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่กล้าเขียนใบสั่งได้ตามอำเภอใจ

เมื่อมีศาลเข้ามาร่วมพิจารณาการกระทำผิดด้านจราจร จะทำให้ตำรวจไม่สามารถกลั่นแกล้งประชาชนที่ถูกรังแก แต่ถ้ากระทำผิดจริง มีหลักฐาน ก็ต้องยอมรับในกติกา ซึ่งถ้ากฎหมายเขียนมาเพื่อบังคับใช้อย่างเข้มงวด และทุกคนทำตามกฎ จะช่วยให้มีอุบัติเหตุลดลง โดยการพิจารณาผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรโดยผ่านศาล คาดว่าจะเริ่มใช้จริงในปี 2566.