โชคดีของประเทศไทยที่รอดพ้นจากพายุ “หินหนามหน่อ” กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะไต้หวัน ช่วงวันที่ 3-9 ก.ย. แต่ได้ส่งผลกระทบต่อไทยทางอ้อม เพราะได้เหนี่ยวนำมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดเข้ามา ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนเพิ่มขึ้น และตกหนักหลายพื้นที่
เป็นสัญญาณเตือน ตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นต้นไป มีความเสี่ยงจะเกิดน้ำท่วมหลายพื้นที่ ย่ิงเป็นช่วงที่ฝนตกชุกมากขึ้น ทำให้ทะเลคลื่นลมแรง เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มต่ำ อีกทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าฝนจะตกหนักระหว่างวันที่ 3-8 ก.ย.อีกด้วย
ขณะที่ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ได้เตือนพื้นที่คลองโผงเผง จ.อ่างทอง, คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา, อ.เสนา อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา, จ.นนทบุรี, จ.ปทุมธานี และกรุงเทพฯ เฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา 1-10 ก.ย. บริเวณชุมชนพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ เนื่องจากปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจะเพิ่มขึ้นสูง 1,800-2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนจะเพิ่มสูงขึ้นตาม ประมาณ 0.40-0.50 เมตร พร้อมให้ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุน

...
รวมถึง กรมชลประทาน ยังแจ้งเตือน 11 จังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา พื้นที่ จ.อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำ หากปริมาณน้ำเหนือเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามากกว่า 2,000 ลบ.ม./วินาที และ กรุงเทพมหานคร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ขอให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

หรือจะเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยปี 2554 จนผู้คนเกิดความกังวลจากภาพจำมหาอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อ 11 ปีที่แล้ว และจากการยืนยันของ “รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์” ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ออกมาบอกอย่างชัดเจนเลยว่า ปีนี้มีโอกาสเกิดน้ำท่วม แบบน้ำท่วมทุ่งจากฝนตกหนักในพื้นที่ ไม่เหมือนกับปี 2554 เกิดน้ำหลากจากภาคเหนือ เพราะการระบายน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ โดยเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 เกิดจากฝนตกหนักทางภาคเหนือตั้งแต่ต้นปี ทำให้น้ำในเขื่อนมีปริมาตรเต็ม ซึ่งแตกต่างจากปีนี้ที่ฝนตกในภาคเหนือน้อยกว่าปี 2554 ทำให้เขื่อนยังสามารถรับน้ำได้อีก 40%
“เหตุการณ์จะเกิดแบบปี 54 ไม่มีแน่ และปีนี้ฝนจะตกหนักแน่ในพื้นที่ภาคกลาง ตั้งแต่เดือน ก.ย.ถึงพ.ย. กลายเป็นฝนตกในทุ่ง น้ำจะค่อยๆ ไหลลงแม่น้ำลำคลอง เพราะมีการสร้างคันกั้นและไหลไปยังที่ต่ำ จากพื้นที่เสนา ผักไห่ บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ไปจนถึง อ.สามพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี กระทั่งฝนตกหนักมากขึ้นจนกลายเป็นคลองแบบน้ำท่วมทุ่ง หากน้ำที่ไหลลงไปล้นคลองพระยาบรรลือ และคลองสาขาต่างๆ จะเกิดน้ำเอ่อเข้าท่วม อ.บางบัวทอง บางใหญ่ จ.นนทบุรี และไหลเข้าคลองมหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา หากน้ำล้นก็จะท่วมพื้นที่ตลิ่งชัน ซึ่งไม่ใช่น้ำที่ปล่อยมาจากเขื่อนเหมือนปี 54 จนน้ำล้นมาจากแม่น้ำ แล้วเข้าทุ่ง”

อย่างไรแล้วปีนี้น้ำท่วมแน่ หากบริหารจัดการไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าคลองต่างๆ มีน้ำเต็มจนล้นออกมาหรือไม่ ซึ่งระหว่างที่น้ำค่อยๆ ไหลลงมาสู่ที่ต่ำทำให้มีเวลาบริหารจัดการ เพราะฝนที่ตกทุกๆ 100 มิลลิเมตร จะมีปริมาณน้ำ 1 พันล้านลูกบาศก์เมตร หากฝนตกทุกๆ 200 มิลลิเมตร ก็จะมีปริมาณน้ำ 2 พันล้านลูกบาศก์เมตร หากน้ำมีจำนวนมากล้นจากคลองต่างๆ จึงมีความเสี่ยงจะไหลเข้ากรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเฉพาะผู้อาศัยอยู่ริมคลองจะได้รับผลกระทบ
จากการลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์น้ำในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พบว่า ชาวบ้านมีความกังวลมาก มองว่าปีนี้ผิดปกติ เพราะฝนมาเร็ว จากเดิมเคยตกในช่วงเดือน ต.ค. จนระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นสูงเหลืออีก 1 เมตร จะเท่ากับปี 2554 และเมื่อมีการปล่อยน้ำเพิ่มในเดือน ก.ย. จะทำให้ระดับน้ำเท่ากับปี 2554 อย่างแน่นอน ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้มีความเปราะบางมาก แม้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ออกมาว่าน้ำจะท่วม แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะท่วมหนักเท่าใด จึงขอให้เตรียมพร้อมรับมือ
...

“ปีนี้ต่างจากปี 54 เพราะคนปลายน้ำจะรับศึกหนัก คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล มากกว่าคนอาศัยอยู่บริเวณต้นน้ำ เนื่องจากฝนที่ตกสะสมได้ท่วมเต็มทุ่ง และฝนเดือนก.ย.ถึงพ.ย. เป็นฝนน้ำนองไหลไปที่ต่ำ คาดว่ากลางๆ เดือน ต.ค.นี้ น่าจะเกิดเหตุคับขัน ถ้าไม่ออกมาเตือน ก็จะไม่มีการวางแผนจัดการเพื่อไม่ให้น้ำหลาก และต้องเตรียมเครื่องสูบน้ำให้พร้อม ทำอย่างไรไม่ให้น้ำท่วมหนัก เพราะหากน้ำลงคลองพระยาบรรลือจนเอ่อล้นออกมา เกรงว่าจะเข้าสู่กรุงเทพฯ ชั้นในได้”
นอกจากความกังวลจะเกิดน้ำท่วมหนักในปีนี้ เพราะฝนมาเร็ว ทำให้น้ำท่วมขังนานแล้ว ยังเกรงว่าชาวบ้านในพื้นที่น้ำท่วมทุ่งจะทนไม่ไหวจากความเดือดร้อนหนัก ลุกฮือขึ้นมาเปิดประตูน้ำก็เป็นไปได้ จนกระทบพื้นที่เศรษฐกิจในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะเดือน ก.ย. ฝนจะตกหนักตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.ไปจนถึงวันที่ 20 ก.ย. แต่โชคดีในช่วง 10 วันข้างหน้ายังไม่มีพายุเข้ามาในไทยโดยตรง ยกเว้นหย่อมความกดอากาศต่ำทำให้เกิดร่องฝนเกือบตลอดทั้งเดือน ก.ย.