เหตุเสียชีวิตของน้องจีฮุน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 วัย 7 ปี เสียชีวิตบนรถตู้รับส่งนักเรียนหมายเลข 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.พานทอง จ.ชลบุรี หลังการชันสูตรเบื้องต้นระบุว่า น้องเสียชีวิตจากภาวะฮีตสโตรก ทำให้มีภาวะระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว แต่ทางครอบครัวยังมีข้อสงสัยต่อการเสียชีวิต จึงได้ไปยื่นเรื่องกับกระทรวงยุติธรรมให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง
ล่าสุดครอบครัวน้องจีฮุนได้ยื่นหนังสือต่อกระทรวงยุติธรรมให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะมีข้อสงสัยหลายประการ แม้มีการแจ้งข้อหากับครูที่ขับรถ และครูประจำรถไปแล้ว ขณะที่ “เมทิกา โกศลปลั่งศรี” มารดาของน้องจีฮุน ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ด้วยสภาพเสื้อผ้าและท่าทางของลูกขณะเสียชีวิตเรียบร้อย ไม่มีคราบน้ำตา น้ำลาย หรือปัสสาวะ และโรงพยาบาลตำรวจได้แจ้งผลชันสูตรว่า ลูกเสียชีวิตจากอาการฮีตสโตรก จนระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว เพราะเกิดจากการอยู่ในที่ร้อนเป็นเวลานานจนหมดสติ แต่ไม่ว่าลูกจะอ่อนเพลียแค่ไหนก็น่าจะเปิดประตู หรือกระจกรถได้
“แพทย์แจ้งสภาพศพว่ามีรอยช้ำบริเวณต้นแขนซ้าย และจุดเขียวที่ขา รวมถึงรอยถลอกที่แขน ซึ่งตอนเช้าอาบน้ำให้ลูกยังไม่พบ จึงเป็นรอยใหม่ ซึ่งเป็นข้อสงสัยอีกประเด็น โดยครอบครัวยังคงจะเก็บร่างไว้ก่อน” มารดาผู้เสียชีวิตกล่าว
ด้วยสภาพศพของเด็กหญิงวัย 7 ปี นอนคว่ำร่างเหยียดยาวอยู่ใต้เบาะด้านหน้า ใกล้กับประตูรถตู้มรณะ ได้สร้างความน่าสงสัย “รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล” นักอาชญาวิทยา ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ได้วิเคราะห์ผ่าน “ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์” ว่า พยานหลักฐานลายนิ้วมือภายในและนอกรถตู้จะเป็นหลักฐานสำคัญ จะช่วยคลี่คลายคดีร่วมกับผลชันสูตรร่างของผู้เสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะมีการยืนยันว่าเมื่อน้องขึ้นรถแล้วไปนั่งบริเวณเบาะด้านหลังของรถ แต่เมื่อพบศพเจอร่างบริเวณพื้นของเบาะด้านหน้า
...
นั่นแสดงว่าก่อนเสียชีวิตน้องสามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ แต่ทำไมไม่สามารถเปิดประตูรถออกมาได้ ขณะเดียวกันบิดาของน้องก็ยืนยันว่า น้องสามารถเปิดประตูรถได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องตรวจสอบรอยนิ้วมือภายนอกรถตู้โดยรอบ เพื่อหาความผิดปกติมาประกอบอย่างละเอียด
“ปกติประตูรถตู้ น้องน่าจะสามารถเปิดได้ เพราะรถไม่ได้จมน้ำ กรณีนี้จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดทั้งกล้องวงจรปิดในสถานที่เกิดเหตุ และเพื่อนๆ ที่นั่งมาในรถคันเดียวกันว่ามีอะไรผิดสังเกตหรือไม่ เพราะเด็กผู้เสียชีวิตโตพอที่จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ถ้าเกิดอาการฮีตสโตรก อาจมีโรคอื่นร่วมด้วยจนทำให้เสียชีวิตหรือไม่”
กรณีการเสียชีวิตของน้องจีฮุน จากการลืมเด็กในรถโรงเรียนไม่ใช่รายแรก จึงอยากให้โรงเรียนต่างๆ เพิ่มความระมัดระวัง ขณะที่ผู้ปกครองควรสอนทักษะการเอาตัวรอด หากติดในรถให้กับเด็ก กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในลักษณะเดียวกันขึ้น

ความยากของการผ่าพิสูจน์ศพฮีตสโตรก
สำหรับกระบวนการชันสูตรพลิกศพกรณีการเสียชีวิตคล้ายกับน้องจีฮุน “นพ.ทศนัย พิพัฒน์โชติธรรม” หัวหน้าภาควิชานิติเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์” ว่า การเกิดฮีตสโตรก ของเด็กที่ติดอยู่ในรถโรงเรียนเมื่อ 3-4 ปีก่อน เกิดขึ้นกว่า 10 ราย กรณีล่าสุดมีลักษณะคล้ายกัน โดยเด็กแต่ละคนจะมีภาวะขาดน้ำจนเสียชีวิตในเวลาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาะวะของร่างกายแต่ละคน
ส่วนการชันสูตรพลิกศพกรณีเกิดฮีตสโตรก ทีมแพทย์จะต้องใช้หลักฐานในพื้นที่มาประกอบในการพิจารณา เพราะความยากคือ การหาอุณหภูมิความร้อนที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต เนื่องจากปกติเมื่อเสียชีวิตแล้ว อุณหภูมิร่างกายของศพจะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศในพื้นที่ ขณะเดียวกันเกลือแร่ในร่างกายที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฮีตสโตรกจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วหลังการเสียชีวิต
ดังนั้นในการผ่าพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุ ทีมแพทย์จะต้องหาปัจจัยของการเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานผิดปกติของอวัยวะส่วนใด มาประกอบกับพยานหลักฐานในพื้นที่อย่างละเอียด
“บางกรณีที่เด็กขาดอากาศหายใจ มักเกิดจากการเสียชีวิตในลักษณะคว่ำหน้าเพื่อเอื้อมหยิบของบริเวณท้ายรถ หรือคว่ำหน้าระหว่างเบาะ ซึ่งมีเหตุเกิดขึ้นน้อยมากในไทย ดังนั้นกรณีล่าสุด หลักฐานในที่เกิดเหตุถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อนำมาพิจารณาในการพิสูจน์ความจริงในคดีนี้”.
