ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ภายใต้การนำของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อาจเป็นเพียงพิธีกรรมที่สุดท้ายผลโหวตก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ส่วนอีกด่านสำคัญในเดือนสิงหาคมนี้ มีการพิจารณาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปี ซึ่งกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 หากพิจารณาแล้ว “บิ๊กตู่” ฝ่าด่านไปได้ มีสิทธิที่จะสร้างสถิติใหม่ในการครองตำแหน่งนายกฯ ยาวนานกว่า “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” เคยทำไว้ 8 ปี 3 เดือน แม้วิกฤติปากท้องในขณะนี้จะส่งผลหนักต่อประชาชนก็ตาม แต่ก็ไม่กระเทือน "บิ๊กตู่"

ด้วยการเมืองที่ปูทางไว้หลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 จนมาถึงการเลือกตั้ง พ.ศ.2562 “รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์การเมืองต่อจากนี้ว่า ถึงจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วยข้อมูลที่ดุเดือด แต่ผลสุดท้ายฝ่ายค้านก็ไม่สามารถล้มรัฐบาล “บิ๊กตู่” ได้ แม้มีประเด็นดราม่ากรณี “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” และพรรคการเมืองขนาดเล็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบแค่รัฐมนตรีบางคนที่ถูกอภิปราย และกลายเป็นผลดีที่รัฐบาลจะปรับคณะรัฐมนตรีใหม่หลังจากนี้

ส่วนอีกด่านสำคัญของ “บิ๊กตู่” ในเดือนสิงหาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 แต่คาดว่าจะสามารถรอดพ้นไปได้ และจะกลับมาครองตำแหน่งนายกฯ อีกสมัย 

ยิ่งช่วงเวลานี้จะเห็น “บิ๊กตู่” ลงพื้นที่ตามต่างจังหวัดมากขึ้น หลังจาก “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ แต่ภาพลักษณ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะชัชชาติ มีท่าทีที่เป็นมิตรกับประชาชนมากกว่า ต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีท่าทีระวังตัวเอง นี่จึงเป็นท่าทีที่แตกต่าง และหลายคนนำมาเปรียบเทียบกันอย่างเห็นได้ชัด

...

ย้อนประวัติศาสตร์การครองตำแหน่งนายกฯ

“รศ.ดร.ธำรงศักดิ์” วิเคราะห์จากประวัติศาสตร์การครองตำแหน่งนายกฯ ว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ รอดพ้นจากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในเดือนสิงหาคมนี้ จะเป็นผู้นำที่ครองตำแหน่งยาวนานแซง “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” ที่อยู่ในตำแหน่ง 8 ปี 3 เดือน

ขณะที่ “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” ยังเป็นอับดับ 1 ในการครองตำแหน่งนายกฯ 15 ปี รองลงมาคือ “จอมพล ถนอม กิตติขจร” อยู่ในตำแหน่งนายกฯ 11 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีนักวิชาการวิเคราะห์ว่า นายกของไทยที่ครองตำแหน่งยาวนาน ส่วนใหญ่เป็นทหารที่มาจากการยึดอำนาจ โดยช่วงแรกจะบริหารจัดการแบบทหาร ก่อนจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นรัฐบาลพลเรือน ซึ่งร่วมมือกับกลุ่มทุนและนักการเมือง

"หลังพล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจใน 5 ปีแรก จะมีท่าทีแบบทหารทั้งการแต่งกายหรือการออกคำสั่ง แต่หลังจากมีการเลือกตั้งและกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ก็พยายามเปลี่ยนท่าทีให้เป็นนายกฯ แบบพลเรือน ซึ่งทางวิชาการเรียกลักษณะนี้ว่า เผด็จการแบบซ่อนรูป เห็นได้จากผู้นำหลายคนที่ครองตำแหน่งมายาวนาน”

การจะลงจากอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ อาจไม่ใช่ในเวลาอันรวดเร็วหลังจากนี้ แม้หลายคนจะวิเคราะห์ถึงท่าทีของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ด้วยพลังทางการเมืองของ “3 ป.” ซึ่งขณะนี้วางกำลังไว้อย่างเหนียวแน่น น่าจะผลักดันให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกสมัย หากรอดจากการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในเดือนสิงหาคมนี้

ดังนั้นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จะต้องใช้เวลานานกว่าที่หลายคนคิด และสุดท้ายแล้วทุกอย่างจะต้องเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่ประชาชนจะได้เรียนรู้ และไม่สนับสนุนนักการเมืองที่หนุนอำนาจทหารในอนาคต.